“พญานาค 2” ไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดปฏิบัติการฝนหลวง “เติมน้ำแบบเต็มอิ่ม” เป้าหมายเขื่อนหลักทั่วไทย เหตุน้ำต้นทุนเหลือน้อย โดยเฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีน้ำต้นทุนใช้ได้เพียง 27 % ระบุฝนตกจริงแต่น้ำไม่ไหลเข้าอ่างไม่ทำแล้งหนักแน่ พร้อมดันกรมฝนหลวงฯเป็นหนึ่งในองคาพยพสู้ภัยเอลนิโญ

เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 ที่ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคกลาง สนามบินนครสวรรค์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะที่ปรึกษา คณะทำงานเข้าตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดำเนินงานแก่กรมฝนหลวงและการบินเกษตร มีนายสุพิศ พิทักษ์ธรรม อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร นายวีรวัฒน์ อังศุพาณิชย์ รองอธิบดีกรมฝนหวงและการบินเกษตร นางชุติมา เสชัง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ และผู้แทน กรมชลประทาน ส่วนราชการจ.นครสวรรค์ ร่วมต้อนรับและรายงานสถานการณ์ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำสำคัญ




ผู้แทนกรมชลประทานรายงานยืนยันปัญหาปริมาณน้ำต้นทุนทั่วประเทศขณะนี้ เหลือไม่ถึงร้อยละ 50 โดยเฉพาะในพื้นที่เขื่อนภาคกลาง ประกอบด้วย เขื่อนสิริกิต์ เขื่อนแควน้อย เขื่อนภูมิพล และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำกักเก็บที่ใช้การได้เพียงร้อยละ 27 ซึ่งจะเกิดผบกระทบในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาแน่นอนในช่วงฤดูแล้ง เพราะปีนี้ประเทศไทย กำลังประสบปัญหาเอลนิโญ อีกทั้งพบว่าปริมาณอ่างเก็บน้ำสำคัญ 27 อ่างก็มีน้ำในอ่างไม่ถึง 100 ล้าน ลบ.ม.การเติมน้ำเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเตรียมน้ำเพื่อสำรองไว้ใช้



จากนั้น นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เปิดปฏิบัติการฝนหลวง ซึ่งการทำฝนหลวงครั้งนี้ มีหน่วยปฏิบัติการร่วมกัน 3 หน่วย ประกอบด้วยหน่วยจาก จ.กาญจนบุรี จ.ลพบุรี และ จ.นครราชสีมา แผนการบิน วันนี้เนื่องจากเป็นลมฝ่ายใต้ ภารกิจเริ่มต้นเวลา 09.30 น.จาก หน่วยการบินเกษตร จ.นครราชสีมา จะขึ้นบิน ก่อเมฆ ใช้ เครื่องบิน CN จำนวน 1 ลำ ดำเนินภารกิจ จากนั้นเวลา 10.30 น. หน่วย จ.ลพบุรี จะใช้เครื่องบิน CASA จำนวน 2 ลำ ทำการบินเพื่อเลี้ยงให้เมฆอ้วน เมื่อปฏิบัติการเรียบร้อย เครื่องบิน CARAVAN อีกจำนวน 2 ลำ จะขึ้นเลี้ยงเมฆให้อ้วนเพิ่มปริมาณน้ำในก้อนเมฆให้ได้มากที่สุดจากนั้น ขั้นตอนที่ 3 จะใช้เครื่องบิน SKA จำนวน 1 ลำ บินมาจาก จ.นครราชสีมา ทำการบินโจมตีเพื่อทำฝน ให้ตกลงในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปฏิบัติการทำฝนหลวง มีช่วงเวลาที่จำเป็นในการเติมน้ำ บางครั้งถูกต่อว่าเพราะประชาชนมองว่ามีฝนตก แต่ข้อเท็จจริง ฝนที่ตกลงมาไม่มีน้ำไหลเข้าเขื่อนจนทำให้เกิดปัญหาวิกฤตในช่วงฤดูแล้ง อีกทั้ง การคาดการณ์ต่อปรากฏการณ์เอลนิโญ่จะทำให้ทั่วประเทศเกิดความแห้งแล้ง การเติมน้ำจึงจำเป็นที่จะต้องเติมให้เพียงพอ จึงได้ทำการสนับสนุนภาระกิจนี้ภายใต้ยุทธการ “การเติมน้ำแบบเต็มอิ่ม” ให้กับเขื่อนสำคัญทั่วประเทศ
“ขณะนี้เพื่อเตรียมการรับมือกับภัยแล้ง “เอลนิโญ” ตนได้รายงาน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับภาระกิจ เพื่อดึงเอา กรมฝนหลวงและการบินเกษร เข้าไปร่วมเป็นองคาพยพในการสู้วิกฤตภัยแล้ง ทั้งนี้จะขอสนับสนุนงบประมาณให้กับกรมฝนหลวงฯ เนื่องจากเครื่องบินฝนหลวงที่ใช้ในการทำเมฆเย็นที่ระดับความสูงเกินหมื่นฟุตขึ้นไป คือเครื่องบิน SKA ซึ่งปัจจุบัน มีเพียง 3 ลำที่สามารถบินทำฝนได้สูงเกินหมื่นฟุต ที่จะไม่เพียงพอกับการพัฒนาเสริมศักยภาพในด้านต่างๆ ทั้งเครื่องมือและบุคลากรเพื่อเตรียมความพร้อมในทุกภาระกิจ จึงจำเป็นที่ต้องมีเครื่องบินที่มีประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะในภาคอีสานทำได้เพียงความเชื่อ ไม่มีฝนก็แห่นางแมว จุดบั้งไฟ แต่กรมฝนหลวงคือศาสตร์พระราชาที่เป็นหนึ่งเดียวในโลก กรมชลประทานมีหน้าที่เก็บน้ำ แต่ฝนหลวงคือกรมฯที่หาน้ำมาเติมในเขื่อน” นายไชยา กล่าวฯ

สำหรับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร มีอำนาจหน้าที่ฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับการปฏิบัติการฝนหลวงและการบินเกษตรทั้งระบบ โดยการทำฝน บริหาร จัดการน้าในชั้นบรรยากาศ มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการของ ประเทศ รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการทำฝนและการดัดแปรสภาพอากาศ โดยดำเนินงานตามภารกิจหลัก 4 ด้าน ได้แก่1. การบรรเทาปัญหาภัยแล้งในพื้นที่การเกษตร 2. การเติมน้ำต้นทุนให้กับพื้นที่กักเก็บน้ำทั่วประเทศ 3. การบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า4. การยับยั้งความรุนแรงของพายุลูกเห็บ ปัจจุบันมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง 7 ศูนย์ปฏิบัติการทั่วประเทศ ครอบคลุม 77 จังหวัด เพื่อบริการประชาชนในการขอรับบริการฝนหลวง และ มีการประสานความร่วมมือกับอาสาสมัครฝนหลวง ซึ่งเป็นตัวแทนเกษตรกรและประชาชน ในแต่ละพื้นที่ เป็นผู้ให้ข้อมูลความต้องการน้ำและสภาพอากาศ การศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีฝนหลวง เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพและโอกาสในการทำฝนให้มากขึ้น โดยน้อมนำศาสตร์ฝนหลวง พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชน
ในด้านอากาศยาน กรมฯ มีอากาศยาน จำนวนทั้งสิ้น 40 ลำ ประกอบด้วยเครื่องบิน 32 ลำ เฮลิคอปเตอร์ 8 ลำ สำหรับสนับสนุนภารกิจการปฏิบัติการฝนหลวงและบริการด้านการบินและตั้งแต่เริ่มตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงในปี 2566 วันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 25 กันยายน 2566 มีการขึ้นปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 175 วัน 3,795 เที่ยวบิน มีรายงานฝนตก 67 จังหวัด มีพื้นที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติการฝนหลวง 191.38 ล้านไร่ มีฝนตกในพื้นที่ลุ่มรับน้ำเขื่อนและอ่างเก็บน้า 266 แห่ง (เขื่อนขนาดใหญ่ 34 แห่ง เขื่อนขนาดกลางและขนาดเล็ก 232 แห่ง) ปริมาณน้ำสะสม 523.29 ล้าน ลบ.ม.