
เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 1 ธันวาคม 2567 พ.ต.ต.กฤษฎา ชานนท์ สว.สอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี ได้รับแจ้งเหตุมีเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวน งัดประตูอาคารปฏิบัติธรรมสำนักสงฆ์ เลขที่ 436/1 ซ.พรหมวิหาร ม.1 ต.บ้านจั่น อ.เมืองอุดรธานี เข้าไปขโมยเอาพระพุทธรูปทองเหลือง จำนวน 12 องค์ และทรัพย์สินอย่างอื่นไปหลายรายการ หลังจากได้รับแจ้งแล้วจึงออกไปตรวจสอบพร้อมด้วยชุดสืบสวน และตำรวจชุมชนตำบลบ้านจั่น








ที่เกิดเหตุพบพระอธิการสีห์สุราช วิสุทะสีโล อายุ 45 ปี ประธานที่พักสงฆ์ เจ้าคณะตำบลหนองบัว (ธ) อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู และลูกศิษย์ นำตรวจสอบภายในอาคารสำนักสงฆ์ ที่ปลูกสร้างด้วยปูนชั้นเดียว อยู่ในเนื้อที่ประมาณ 2 งาน เพื่อเป็นที่ปฏิบัติและศึกษาพระธรรม ของพระสงฆ์และญาติโยมที่เลื่อมใสศรัทธาในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ตรวจสอบประตูทางเข้าห้องปฏิบัติธรรม ที่ทางสำนักนำแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดมาปิดไว้ด้านล่าง ถูกคนร้ายเจาะเป็นรูมุดเข้าไปรื้อค้นทรัพย์สินภายในห้องปฏิบัติธรรมกระจัดกระจาย
สำหรับทรัพย์สินที่หายไปตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่ามี พระพุทธรูปทองเหลืองหน้าตัก 9 นิ้ว ที่วางอยู่องค์หน้าพระประธาน จำนวน 7 องค์ และหน้าตัก 7 นิ้ว ที่วางอยู่บนโต๊ะ จำนวน 5 องค์ ได้หายไป รวมทั้งพัดลมตั้งโต๊ะ จำนวน 7 ตัว เครื่องปรับอากาศแบบเติมน้ำเคลื่อนที่ จำนวน 1 ตัว และกระทะเหล็กที่ไว้กวนข้าวทิพย์ขนาดใหญ่ ที่เก็บไว้ในกรงเหล็กข้างนอกห้องปฏิบัติธรรม จำนวน 4 อัน ตรวจสอบในห้องครัวถังแก๊สขนาด 15 กก. และปั๊มน้ำถูกคนร้ายตัดเอาไป รวมทั้งสายไฟจากเสาไฟฟ้า และภายในอาคารฯ ถูกตัดไปเป็นบางส่วน
ส่วนพระพุทธรูปที่ทำด้วยปูน และไฟเบอร์คนร้ายไม่เอาไป เพราะไม่มีราคา นอกจากนี้ยังพบบาตรพระจำนวน 4 ลูก ที่เก็บไว้ในตู้อัฐบริขาร ถูกขนออกมาวางอยู่หน้าประตูหน้าห้องปฏิบัติธรรม และหนังสือสอนพระธรรม และหนังสือสวดมนต์ ถูกคนร้ายขนออกมาจากตู้มาวางกองไว้ที่พื้น รวมมูลค่าทรัพย์สินที่คนร้ายขโมยเอาไปประมาณ 7-8 หมื่นบาท
พระอธิการสีห์สุราช ให้การว่า ที่พักสงฆ์แห่งนี้ญาติโยมที่มีจิตใจศรัทธา ได้ร่วมกันสร้างถวายตั้งแต่ปี 2547 กระทั่งปี 2561 อาตมาได้ไปจำพรรษาที่ ต.หนองบัว อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู จึงทำให้สำนักสงฆ์แห่งนี้ไม่ญาติโยมและพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ แต่อาตมาและญาติโยมก็มาทำความสะอาด และถางหญ้าเดือนละ 1 ครั้ง ล่าสุดวันที่ 27 ต.ค. ที่ผ่านมา ทุกอย่างก็ยังปกติ แต่ครั้งนี้ไม่ปกติ เพราะประตูถูกเปิดออก ข้าวของข้างในถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย และทรัพย์สินดังกล่าวก็หายไป
“ฝากถึงโจรการที่มาลักเล็กขโมยน้อยมันก็เป็นบาปกรรมอยู่แล้ว แต่สถานที่แห่งนี้เป็นของญาติโยมที่ศรัทธาถวายให้พระได้มีที่ปฏิบัติธรรม และดูและทรัพย์สินที่ถวายมาเป็นอย่างดี แต่โจรอาศัยตอนพระและญาติโยมไม่อยู่เข้ามาขโมยเอาไป ก็ถือว่าเป็นของพระพุทธศาสนา ก็ยิ่งจะทำให้เป็นบาปกรรมอย่างหนัก เพราะบาปกรรมจะตกอยู่กับโจรผู้กระทำ ซึ่งในตัวของอาตมาเองก็ไม่รู้สึกโกรธเกลียดชังโจร หรือเสียดายทรัพย์สินที่หายไป ให้กรรมเป็นเครื่องตัดสิน เพราะกรรมยุติธรรมแก่คนที่ก่อไว้เสมอ จะกรรมมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับเจตนาเป็นที่ตั้ง จะเอาไปบูชา เอาไปใช้ หรือเอาไปขาย จึงอยากให้โจรกลับใจมาเป็นคนดี และขอให้เคสนี้เป็นครั้งสุดท้ายในการก่อกรรมกับทางวัด หรือกับทางพุทธศาสนา”
ในเบื้องต้นตำรวจได้ถ่ายรูปในที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน และสอบปากคำพระผู้เสียหาย และญาติโยมที่ดูแลสำนักสงฆ์ เพื่อเป็นเบาะแสในการติดตามตัวโจรใจบาปที่คาดว่ามีมากกว่า 1 คน ช่วยกันทยอยขนทรัพย์สินออกไปจากสำนักสงฆ์ เพื่อติดตามตัวและของกลางมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป