
แม่ชาว อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ น้ำตาซึมวอนทนายอั๋น ช่วย หลังผู้ปกครอง นร.หญิง แจ้งความเอาผิดลูกชาย เรียนชั้น ม.6 ฐานพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร เมื่อปลายปี 67 แล้วอัยการสั่งฟ้องส่งตัวไปศาลวานนี้ 6 ม.ค.68 ต้องประกันตัวชั้นศาล 1 แสน ทั้งที่ลูกยืนยันมาตลอดแค่หยอกกันเล่น เพราะลูกเป็น LGBT ชอบผู้ชายด้วยกัน คนในหมู่บ้านและ ร.ร.รับรู้ หวั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม









(7 ม.ค.68) นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋นบุรีรัมย์ ได้พา น.ส.เบญจวรรณ อายุ 37 ปี ชาว อ.เฉลิมพระเกียรติ ไปที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อขอให้ช่วยเหลือเกี่ยวกับการประกันตัวลูกชาย ของ น.ส.เบญจวรรณ ซึ่งเรียนอยู่ชั้น ม.6 หลังจากที่ผู้ปกครองของนักเรียนหญิง ชั้น ม.1 โรงเรียนเดียวกัน ได้แจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.ละหานทราย กล่าวหาว่านายเบส อายุ 18 ปี กระทำอนาจาร
โดยอ้างว่า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567 เวลากลางวัน นายเบส ได้พา ด.ญ.เอ (นามสมติ) อายุ 12 ปีเศษขณะเกิดเหตุ ไปเสียจากความปกครองดูแลของมารดา เพื่อการอนาจารด้วยการกอดโดย ด.ญ.เอ ผู้เสียหายยินยอม ต่อมาเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2567 เวลากลางวัน นายเบส ก็ได้พา ด.ญ.เอ ไปเพื่อการอนาจารด้วยการกอดจูบและใช้มือล้วงเข้าไปในกางเกงชั้นในของผู้เสียหาย แล้วจับอวัยวะเพศ โดยที่ผู้เสียหายยินยอม แต่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย โดยอ้างอิงว่าทั้ง 2 เหตุการณ์เกิดในพื้นที่ตำบลสำโรงใหม่ และ ต.ละหานทราย อ.ละหานทราย
ต่อมาวันที่ 2 พ.ย.67 นายเบส นักเรียน ม.6 ที่ถูกกล่าวหา ก็ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน ซึ่งนายเบส ให้การปฏิเสธ แต่พนักงานสอบสวนก็ได้แจ้งข้อกล่าวหาตามขั้นตอน ในฐานความผิด “พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร , พาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารโดยเด็กนั้นยินยอม และกระทำอนาจารเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นยินยอม” ซึ่งในชั้นสอบสวนจำเลยไม่ได้ถูกควบคุมตัว กระทั่งมีการสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการตามขั้นตอน
ล่าสุดวานนี้วันที่ 6 ม.ค.68 เจ้าหน้าที่แจ้งให้จำเลย คือ นายเบส นักเรียนชั้น ม.6 ไปที่อัยการจังหวัดนางรอง น.ส.เบญจวรรณ จึงได้พาลูกชายขี่รถจักรยานยนต์จาก อ.เฉลิมพระเกียรติ ไปที่สำนักงานอัยการจังหวัดนางรอง จากนั้นอัยการก็ให้ไปที่ศาลจังหวัดนางรองเพื่อส่งฟ้อง ซึ่งคดีดังกล่าวศาลแจ้งว่าต้องมีเงินหรือหลักทรัพย์ประกันตัวชั้นศาล 1 แสนบาท แม่ถึงกับน้ำตาคลอเพราะมีอาชีพรับจ้างทั่วไปไม่มีเงินหรือทรัพย์สินที่จะยื่นประกันตัวลูกได้ จึงได้ขอความช่วยเหลือจากทนายอั๋น
น.ส.เบญจวรรณ บอกว่า จากการสอบถามลูกชายว่าได้ทำตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ ลูกชายก็ยืนยันว่า แค่กอดคอหยอกกันเล่นกับน้อง ที่โรงอาหารในโรงเรียนเท่านั้น ไม่เคยพาน้องไปกระทำอนาจารตามที่ถูกกล่าวหา และที่ทำให้แม่เชื่อคำพูดลูก เพราะแม่รู้ดีว่าลูกชายเป็น LGBT ชอบเพศเดียวกัน ไม่ได้ชอบผู้หญิง ทั้งนี้แม่ยังได้นำคลิปที่ลูกชายเคยถ่ายลงติ๊กต็อก ขณะคบหากับแฟนที่เป็นผู้ชายและยังได้พามาแนะนำตัวกับแม่ที่บ้านด้วย อีกทั้งคนในหมู่บ้าน และเพื่อนที่โรงเรียนก็รู้ว่าน้องเป็น LGBT ที่ผ่านมาทั้งตนและน้องก็ยืนยันกับตำรวจมาตลอด แต่ก็ไม่เป็นผลจนลูกถูกส่งฟ้อง จึงอยากขอความเป็นธรรมให้ลูกด้วย
ทนายอั๋น กล่าวว่า ปัจจุบันในสังคมจะเกิดกรณีชู้สาว การรักในวัยเรียนบ่อย แต่บางเคสก็ไม่ได้เป็นคดีความ หรือเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะทางผู้เสียหายหรือผู้ปกครองไม่ได้แจ้งความดำเนินคดี จึงอยากเตือนน้องๆ วัยรุ่น หรือในวัยเรียน ว่าไม่ควรจะมีเรื่องชู้สาว หรือรักในวัยเรียน เพราะอาจจะถูกแจ้งความดำเนินคดี และต้องเสียเวลาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และหากมีหลักฐานว่ากระทำผิดจริง ก็อาจจะต้องติดคุกเสียการเรียน เสียอนาคตได้ แต่กรณีของน้อง ม.6 ที่ถูกแจ้งความกล่าวหาว่าอนาจารเด็กนักเรียนหญิง ม.1 แล้วแม่มาขอให้ตนช่วยเหลือ เพราะไม่มีเงินประกันตัวในชั้นศาล 1 แสนบาท กลัวลูกจะถูกส่งเข้าเรือนทั้งที่ไม่กี่เดือนก็จะจบ ม.6 แล้ว ขอให้ลูกได้เรียนและต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมโดยที่ไม่ถูกคุมขัง
ตนจึงได้พาผู้เป็นแม่ไปสอบถามที่ยุติธรรมจังหวัดว่ามีแนวทางจะช่วยเหลือเรื่องการประกันตัวหรือไม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่แจ้งว่าต้องยื่นเรื่องไว้และรอการพิจารณาจากคณะกรรมการฯ ประมาณ 1 เดือน ทำให้แม่น้ำตาซึมกลัวลูกจะติดคุก แต่ระหว่างพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่ยุติธรรมจังหวัด แม่ก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าศาลท่านเมตตาสามารถให้กำนันใช้ตำแหน่ง พร้อมเงิน 5,000 บาทมายื่นประกันตัวน้อง ได้ ก็ถือเป็นความโชคดีของน้อง ส่วนเรื่องคดีผิดถูกก็ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน
ทนายอั๋นยังกล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลและคำยืนยันจากแม่ที่บอกว่าลูกชายเป็น LGBT ชอบเพศเดียวกันไม่ได้ชอบผู้หญิงนั้น หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีเพศสภาพเป็น LGBT พนักงานสอบสวนควรแสวงหาข้อเท็จจริงในส่วนที่ประกอบ และเปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาได้แสดงพยานหลักฐานประกอบเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองด้วย และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากปรากฏว่า แม่ของผู้เสียหายทราบดีว่าจำเลยมีเพศสภาพเป็น LGBT แต่ยังคงดำเนินคดีกับจำเลยเสมือนเป็นผู้ชายแท้ๆ ก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ แต่ส่วนตัวก็เห็นใจและเข้าใจทั้งสองฝ่าย
หากข้อเท็จจริงพิสูจน์ทราบแน่ชัดในสังคม ว่าจำเลยมีเพศสภาพเป็น LGBT มาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนี้น่าจะหาทางออกในตอนแรก เรื่องแบบนี้ไม่ควรจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะไม่น่าจะเป็นผลดีทั้งสองฝ่าย