
อดีตรอง สวป.ปะคำ จ.บุรีรัมย์ สุดทนร้องตรวจสอบผู้บังคับบัญชากลั่นแกล้ง ปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจมีบันทึกรายงานและรูปถ่ายเป็นหลักฐานจริง แต่ไม่มีชื่อรับเบี้ยเลี้ยงและรางวัลนำจับ กลับใส่ชื่อ ตร.ที่ไม่ได้ปฏิบัติงานจริง บางคนขาขาดนิ้วขาดรับเบี้ยเลี้ยง ซ้ำสั่งโยกย้ายไม่เป็นธรรม กระทบครอบครัว เครียดถึงขั้นคิดสั้น ส่งเรื่องร้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติผลสอบกลับบอกไม่มีมูล ล่าสุดยอมลาออกเพื่อเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมถึงที่สุด ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบของ ป.ป.ท.






(27 ก.พ.68) ร.ต.อ.พิเชษฐ อินผักแว่น อายุ 58 ปี อดีต รองสารวัตรป้องกันปราบปราม (สวป.) สถานีตำรวจภูธรปะคำ จ.บุรีรัมย์ ที่เพิ่งขอลาออกเมื่อปี 2565 เพราะทนไม่ได้ที่ถูกผู้บังคับบัญชากลั่นแกล้ง ได้นำหนังสือที่เคยร้องเรียนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงหลักฐานสมุดบันทึกรายงานวันเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดด่าน และรูปถ่ายขณะออกปฏิบัติหน้าที่ ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมและร้องให้ตรวจสอบพฤติกรรมของผู้บังคับบัญชา ประจำ สภ.ปะคำ ที่ดำรงตำแหน่งเมื่อปี 2564
โดย ร.ต.อ.พิเชษฐ หรือผู้กอง พิเชษฐ อ้างว่า เมื่อปี 2564 ช่วงที่ขอย้ายจาก สภ.หนองไม้งาม อ.บ้านกรวด มาประจำที่สถานีตำรวจภูธรปะคำ เนื่องจากมีภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.ปะคำ แต่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการทำหน้าที่ของผู้บังคับบัญชา (ผกก.) สมัยนั้น ทั้งกรณีที่ออกปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจ ทั้งด่านความมั่นคง จุดตรวจกวดขันวินัยจราจร และจุดตรวจโควิด แต่กลับไม่มีรายชื่อประจำจุดตรวจและไม่มีชื่อในการรับเบี้ยเลี้ยง หรือรางวัลนำจับเลย แต่กลับมีรายชื่อของตำรวจจากสายงานต่างๆ มากกว่า 10 นายที่ไม่ได้ปฏิบัติงานจริงเบิกเบี้ยเลี้ยงโควิด แม้แต่ตำรวจที่ขาขาด นิ้วขาด ซึ่งทำหน้าที่เวรวิทยุ ก็มีชื่อประจำจุดตรวจและมีชื่อเบิกเบี้ยเลี้ยงโควิดด้วย ส่วนตนมีทั้งหลักฐานการลงวันเวลาในการปฏิบัติหน้าที่จริง พร้อมรูปถ่ายยืนยัน แต่กลับไม่มีรายชื่อประจำจุดตรวจ และไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยง เมื่อไปสอบถามที่ทักท้วงผู้บังคับบัญชากลับไม่พอใจ สุดท้ายมีคำสั่งโยกย้ายจากรอง สวป.สภ.ปะคำ ไปปฏิบัติหน้าที่รองสารวัตรฝ่ายอำนวยการที่ภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งห่างไกลจากบ้านเกือบ 100 กิโลเมตร แถมยังถูกตัดเงินประจำตำแหน่งอีกเดือนละ 3,000 บาท ทำให้ได้รับความเดือดร้อนต่อค่าใช้จ่ายในครอบครัว
แต่พอทำเรื่องร้องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่มีผลสรุปว่าไม่มีมูล จึงตั้งข้อสังเกตว่ากรรมการที่ร่วมสอบฯ บางคนเป็น นรต.รุ่นเดียวกันอาจมีการช่วยเหลือกัน ทำให้เกิดความเครียดถึงขั้นคิดสั้น เพราะขนาดมีหลักฐานยังสรุปว่าไม่มีมูล เกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรม สุดท้ายจึงตัดสินใจลาออกเพื่อเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมถึงที่สุด ซึ่งได้ไปร้อง ป.ป.ช.ประจำจังหวัดบุรีรัมย์ และ ป.ป.ช.ได้ส่งเรื่องต่อไปยัง ป.ป.ท. ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ
จากกรณีที่เกิดขึ้นก็อยากขอความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วยว่า ในเมื่อกับผู้ใต้บังคับบัญชาคุณยังไม่ให้ความเป็นธรรม แล้วประชาชนจะได้รับความเป็นธรรมได้อย่างไร ส่วนที่ตัดสินใจลาออกทั้งที่เหลืออายุราชการเพียงไม่กี่ปี เพราะต้องการจะเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมให้ถึงที่สุด
จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางไปที่ สภ.ปะคำ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ไม่มีตำรวจนายใดสะดวกให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวจึงได้โทรศัพท์สอบถามตำรวจที่ถูกระบุว่ามีรายชื่อรับเบี้ยเลี้ยงจุดตรวจโควิด 2 นาย ก็ให้ข้อมูลเพียงว่าช่วงนั้นตำรวจไม่เพียงพอ แม้จะไม่ได้อยู่สายปราบปรามแต่ก็ออกปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา และได้รับเบี้ยเลี้ยงจริง ส่วนผู้กองพิเชษฐ ที่ร้องเรียนว่าปฏิบัติหน้าที่แต่ไม่ได้เบี้ยเลี้ยงนั้น ก็ไม่ทราบข้อมูล ส่วนอีกนายบอกเพียงว่ามันหลายปีแล้ว จึงจำข้อมูลไม่ได้ว่าออกตรวจตอนไหน และได้รับเบี้ยเลี้ยงหรือไม่