วันที่ 22 กรกฎาคม 2566 ที่ห้องพนมเมธี ชั้น 5 อาคารสารสนเทศเพื่อการบริหาร สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยนครพนม นายสมยศ สีแสนซุย รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยนครพนม ต้อนรับคณะกรรมการตรวจเยี่ยมเสริมสร้างกำลังใจ “โครงการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาปลอดผลิตภัณฑ์ยาสูบ” โดยการนำของนายแพทย์วันชาติ ศุภจัตุรัส รองประธานโครงการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาปลอดผลิตภัณฑ์ยาสูบ พร้อมคณะ ซึ่งภารกิจของคณะกรรมการฯ ที่เดินทางมาตรวจเยี่ยมครั้งนี้ เพื่อติดตามผลการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยในการรณรงค์ให้เป็นสถานที่ปลอดบุหรี่ทุกชนิด จากการลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการขับเคลื่อนการดำเนินงานสถานศึกษา (ระดับอุดมศึกษา) ปลอดบุหรี่ ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข ,กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 เพื่อผลักดันให้สถานศึกษาระดับอุดมศึกษามีการประกาศนโยบายเป็นสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาปลอดบุหรี่ พร้อมทั้งให้มีการจัดสิ่งแวดล้อมปลอดบุหรี่ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ส่งเสริมและสนับสนุนให้สถานศึกษาจัดระบบหรือกิจกรรมในการให้บริการคัดกรอง บำบัด ฟื้นฟู หรือส่งต่อผู้สูบบุหรี่ที่ต้องการเลิกสูบบุหรี่ทุกรูปแบบตามความเหมาะสม ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนให้สถานศึกษาจัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพบุคลากร แกนนำนิสิต-นักศึกษา ให้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาปลอดบุรี่ และปลอดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ รวมทั้งให้มีการสอดแทรกเนื้อหาหรือหลักสูตรการเรียนการสอน งานวิจัย หรือนวัตกรรม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและขับเคลื่อนสถานศึกษา ระดับอุดมศึกษาปลอดบุหรี่


นายสมยศ สีแสนซุย รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยนครพนม กล่าวว่า มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะมองว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง มหาวิทยาลัยพยายามประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับนักศึกษาและบุคลากรมาโดยตลอด เพราะสื่อปัจจุบันส่งผลต่อการโน้มน้าวใจเป็นอย่างมาก การเสพสื่อโดยไม่ระวัง หรือขาดข้อมูลที่ถูกต้อง ก็จะส่งผลกระทบในวงกว้าง จึงได้มอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสื่อสารข้อมูลที่ปลอดภัยให้กับนักศึกษาและบุคลากรผ่านกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย อาทิ กิจกรรมชมรมทูบีนัมเบอร์วัน ชมรมรณรงค์การป้องกันภัยจากบุหรี่ของนักศึกษาในแต่ละคณะ/วิทยาลัย หรือแม้กระทั่งกิจกรรมการรับน้องใหม่ที่ผ่านมา ทางมหาวิทยาลัยก็ได้รณรงค์สร้างการรับรู้ให้กับนักศึกษาของเราด้วย พร้อมกันนี้ได้นำเสนอภาพรวมและผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการฯ


ด้าน นายแพทย์วันชาติ ศุภจัตุรัส รองประธานโครงการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาปลอดผลิตภัณฑ์ยาสูบ กล่าวว่า จากการนำเสนอผลการดำเนินงาน ได้เห็นความตั้งใจของคณะผู้บริหารและส่วนงานที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก ที่ให้ความสำคัญกับนักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยในด้านสุขภาพ อย่างที่เราทราบกันดีว่าบุหรี่มีโทษต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง ซึ่งนอกจากบุหรี่มวนแล้วปัจจุบันพบว่ามีการนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก ถึงแม้การนำเข้าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ประกอบกับการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมีความง่ายดาย ทำให้เกิดผู้เสพหน้าใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ฉะนั้น การรณรงค์ที่ดีที่นอกเหนือจากการจัดกิจกรรม “เพื่อนช่วยเพื่อน” ก็เป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เสพหันกลับมา ลด ละ เลิก จากการสูบบุหรี่ได้ เพราะเพื่อนคือคนสนิทมากที่สุด ภารกิจที่จะต้องเดินหน้าต่อจากนี้อย่างต่อเนื่อง คือ การทำงานผ่านกลไกของกลุ่มนักศึกษา เช่น สโมสรนักศึกษา องค์การนักศึกษา สภานักศึกษา และหน่วยงานต่าง ๆ จะต้องร่วมมือกัน ประชาสัมพันธ์ รณรงค์ ให้เห็นโทษและพิษภัยจากบุหรี่ หรืออาจจัดแคมเปญทำคลิปสั้นลง YouTube ,Reel และ TikTok สื่อที่คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย


รองศาสตราจารย์ ดร.ผ่องศรี ศรีมรกต เลขาธิการโครงการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาปลอดผลิตภัณฑ์ยาสูบ กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยนครพนมมีความเข้มแข็งและถือว่ามีความเข้าใจกลไกการขับเคลื่อนงานอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะผู้บริหารที่เป็นกำลังสำคัญในเชิงนโยบายลงไปสู่ภาคปฏิบัติ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เสพรู้สึกอบอุ่นและอยากเข้าสู่กระบวนการเลิกสูบบุหรี่ คือ การตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาในแต่ละคณะ/วิทยาลัย และเชื่อว่าทางมหาวิทยาลัยกำลังดำเนินงานเพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ รวมถึงการจัดทำฐานข้อมูลในระบบด้วย อีกสิ่งหนึ่งต้องขอบคุณกิจกรรม ชมรมต่าง ๆ ของนักศึกษา ที่เชื่อมกลไกทำงานร่วมกับชุมชนภายนอกในการให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชน ตลอดจนผู้ปกครองในพื้นที่ ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ส่งเสริมการมีส่วนร่วม ซึ่งอย่างน้อยก็ทำให้มหาวิทยาลัยมีบทบาทที่ได้เข้าไปพัฒนาคนให้มีคุณภาพ


ขณะที่รองศาสตราจารย์ ดร.จินตนา ยูนิพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ (ศบช.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบผู้เสพหน้าใหม่ที่โทรเข้ามาปรึกษาผ่านศูนย์บริการเลิกสูบบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เกิดผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายเสียก่อนจึงจะโทรเข้ามาปรึกษากับทางเจ้าหน้าที่ ฉะนั้น จึงอยากจะให้คนที่ยังไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงอย่าได้หลงเข้าไปโดยเด็ดขาด เพราะหากสูบบุหรี่เข้าไปในร่างกายจะส่งผลต่อสุขภาพในชนิดที่ไม่สามารถแก้ไขได้ยิ่งจะทรมานมากกว่า หรือกลุ่มคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง หากจะเลิกจากการสูบบุหรี่ก็สามารถโทรปรึกษาผ่านหมายเลข 1600 ได้ ส่วนในสถานศึกษาหากพบเพื่อนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เพื่อนสามารถช่วยเพื่อนได้ ด้วยการเข้าใจปัญหาและแนะนำหาทางออกที่ดีร่วมกัน ซึ่งในส่วนนี้การใช้ความเป็นเพื่อนหรือคนใกล้ชิดจะเป็นพลังสำคัญอย่างมาก

นอกจากนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.จินตนา ยังให้ข้อมูลที่เป็นแนวทางเพิ่มเติมว่า นอกจากเพื่อนรอบข้างที่เป็นพลังสำคัญแล้ว คนที่จะให้คำปรึกษาจนเลิกบุหรี่ได้ คือ เครือข่ายวิชาชีพแพทย์ ที่ทำเรื่องแนวทางของเวชปฏิบัติการรักษาบำบัดโรคติดนิโคติน (Nicotine) ดังนั้น หากเป็นแพทย์ บุคลากรวิชาชีพสุขภาพ จะต้องทำตามแนวปฏิบัตินี้ ผู้ป่วยจึงจะสามารถเลิกบุหรี่ได้ ส่วนการเลิกบุหรี่ด้วยยาก็จะมีแพทย์และเภสัชกรคอยดูแล หรือแม้กระทั่งการเลิกบุหรี่ด้วยแพทย์ทางเลือก ก็จะมีแพทย์ทางเลือกคอยให้คำปรึกษาดูแล รวมถึงการเลิกบุหรี่ด้วยสมุนไพร ซึ่งก็เป็นอีกศาสตร์หนึ่งตามเวชปฏิบัติ แต่การเลิกบุหรี่ที่เป็นสากล คือ การเลิกด้วยการให้คำปรึกษา ดังนั้น การให้คำปรึกษาต้องให้คำปรึกษาแบบมืออาชีพ เป็นวิชาชีพหนึ่งที่อยู่ในแนวทางเวชปฏิบัตินี้ หรือที่เรียกว่า “วิชาชีพสายด่วนเลิกบุหรี่ (1600)” ซึ่งเราจะมีวิธีการช่วยให้คนเลิกสูบบุหรี่ได้ รองศาสตราจารย์ ดร.จินตนา กล่าว
ทั้งนี้ ยังได้รับข้อเสนอแนะต่าง ๆ จากแพทย์หญิงอัมพร กรอบทอง คณะกรรมการโครงการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาปลอดผลิตภัณฑ์ยาสูบ และความรู้ทางด้านกฎหมาย จากนายข่าน ประเสริฐกลาง ซึ่งเป็นนิติกร กองงานคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยมีแกนนำนักศึกษา คณาจารย์ และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง