ความคืบหน้าคดีไม้พะยูงของกลางมูลค่า 1 ล้านบาท หายจากหน้าเสาธงเทศบาลตำบลอิตื้อ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์
ล่าสุด พล.ต.ต.สุวรรณ์ เชี่ยวนาวินธวัช ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า จากการสอบถามจากพนักงานสอบสวนและชุดสืบสวน เบื้องต้นขณะนี้ได้สอบปากคำพยานไปแล้ว 3 ปาก ซึ่งทั้ง 3 คนเป็นผู้ใหญ่บ้านในตำบลอิตื้อ ได้ให้ปากคำและยืนยันไปทิศทางเดียวกันว่า เห็นตัวบุคคล ได้พูดคุยกัน และจำหน้าได้ว่า เป็นเจ้าหน้าที่รัฐหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ในสังกัดกรมป่าไม้ ได้ร่วมกันทำการขนไม้ที่เป็นของกลางไป โดยอ้างว่าจะนำไปเก็บรักษาไว้ที่ปลอดภัย แต่จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่พบไม้ที่กล่าวอ้างว่านำไปเก็บไว้ที่ไหน อีกทั้งจากการสอบถามเบื้องต้นกับเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าว ล่าสุดก็ยังปฏิเสธว่าไม่ได้เอาไม้ไป

พล.ต.ต.สุวรรณ์กล่าวอีกว่า ขณะนี้ได้ส่งชุดสืบสวนตำรวจภูธร จ.กาฬสินธุ์ลงพื้นที่ไปช่วยตำรวจ สภ.โนนสูง โดยเฉพาะการรวบรวมพยานหลักฐานสำคัญ แกะรอยกล้องวงจรปิดตามถนนสายต่างๆ ที่คาดว่าน่าจะใช้รถบรรทุกขนไม้ออกไป เนื่องจากกล้องวงจรปิดบริเวณที่เก็บไม้ของกลางภายในเทศบาลตำบลอิตื้อ ไม่สามารถบันทึกภาพได้ ซึ่งหากพนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้อง และรวบรวมพยานหลักฐานพอที่จะบ่งชี้และเชื่อได้ว่าใครเกี่ยวข้องในการกระทำผิด ก็จะเรียกตัวมาแจ้งข้อกล่าวหา และส่งเรื่องไปยัง ปปช.กาฬสินธุ์ เนื่องจากกลุ่มบุคคลที่ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้มีกรอบเวลาดำเนินรวบรวมพยานหลักฐานส่ง ปปช.ภายใน 30 วัน

สำหรับคดีไม้พะยูงของกลางปริมาตร 4 คิว มูลค่า 1 ล้านบาท หายไปจากบริเวณหน้าเสาธงภายในสำนักงานเทศบาลตำบลอิตื้อ เมื่อเวลาประมาณ 18.00-19.00 น.ของวันที่ 5 ส.ค.66 ที่ผ่านมา ซึ่งนายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผวจ.กาฬสินธุ์ รวมทั้ง พล.ต.ต.สุวรรณ เชี่ยวนาวินธวัช ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ และนายเอกรัตน์ มิสา นายอำเภอยางตลาด ได้กำชับให้ทุกฝ่ายเร่งรัดติดตาม เพื่อดำเนินคดีกับผู้ลักลอบขนย้ายไม้พะยูงไป และอยู่ในความสนใจของประชาชน แต่การประสานงานระหว่างตำรวจท้องที่ สภ.โนนสูง กับผู้บังคับบัญชาระดับจังหวัด ค่อนข้างจะล่าช้า จากการสอบถามอ้างว่ากล้องวงจรปิดใช้การไม่ได้ และเบาะแสที่ได้ยังเลือนราง




อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าชาวบ้านและผู้นำชุมชนในพื้นที่ มีการวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นอย่างมากในความล่าช้านี้ จึงอยากเร่งร้องให้เร่งดำเนินการไล่ล่า เพื่อกระชากหน้ากากผู้อยู่เบื้องหลัง และสร้างความกระจ่างให้กับสังคมโดยเร็ว เพราะเรื่องนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์