ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายสุวิทย์ จันทร์หวร ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาแรงงานและครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศอิสราเอล โดยมี นายอนุพงศ์ คำภูแก้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู นายพิสิษฐ์ชัย อภัยปิยะกุล ปลัดจังหวัด จัดหางานจังหวัด แรงงานจังหวัด สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และนายอำเภอ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดหนองบัวลำภู โดยจังหวัดหนองบัวลำภู มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานให้ความช่วยเหลือเยียวยาแรงงานและครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศอิสราเอล และแต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจจำนวน 1 ชุด เพื่อให้การประสานงานให้ความช่วยเหลือแรงงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สะดวก รวดเร็ว เกิดประโยชน์สูงสุดแก่แรงงานกลุ่มดังกล่าว



สำหรับข้อมูลแรงงานไทยจังหวัดหนองบัวลำภู ที่เดินทางไปทำงานในประเทศอิสราเอลล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,721 ราย จังหวัดมีการติดตามความคืบหน้าสถานะของแรงงานไทยในอิสราเอลอย่างต่อเนื่อง โดยมีการระบุสถานะแรงงานออกเป็น 7 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 แรงงานที่อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย 1,396 ราย กลุ่มที่ 2 แรงงานที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงสูง 79 ราย กลุ่มที่ 3 แรงงานที่ยังไม่สามารถติดต่อได้ 37 ราย กลุ่มที่ 4 แรงงานที่ถูกจับเป็นตัวประกัน 2 ราย กลุ่มที่ 5 แรงงานที่เดินทางกลับถึงประเทศไทยแล้ว 163 ราย กลุ่มที่ 6 แรงงานที่เสียชีวิต 3 ราย และ กลุ่มที่ 7 แรงงานที่ไม่ปรากฏข้อมูลในพื้นที่ 51 ราย โดยกลุ่มแรงงานที่อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยมีจำนวนสูงที่สุด
นายสุวิทย์ จันทร์หวร ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวในที่ประชุมว่า รู้สึกเป็นห่วงแรงงานที่กลับภูมิลำเนาว่าจะไม่มีอาชีพไม่มีรายได้เหมือนเดิมและจะส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพทั้งต่อตนเองและครอบครัว ดังนั้น จึงมอบหมายให้แต่ละอำเภอจัดทำข้อมูลแรงงานเป็นรายบุคคลว่ามีความถนัดในอาชีพใด ต้องการประกอบอาชีพใด ต้องการความช่วยเหลือในการประกอบอาชีพอย่างไร





โดยผู้ว่าราชการจังหวัดหนงบัวลำภู เร่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือประสานแรงงานที่ได้รับผลกระทบ ตามที่รัฐบาลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ทั้งของสายการบินเอกชนจากต่างประเทศ สายการบินเอกชนของไทย และกองทัพอากาศ สำหรับมาตรการช่วยเหลือด้านแรงงาน เริ่มจากการ“เยียวยา” แรงงานไทยที่เป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ เมื่อกลับมาถึงประเทศไทย กระทรวงแรงงานจ่ายรายละ 15,000 บาท ทันที ตามสิทธิประโยชน์เงินสงเคราะห์ ทั้งนี้ แรงงานที่เสียชีวิตจะได้รับ 40,000 บาท เป็นค่าทำศพ และเงินเยียวยาสำหรับครอบครัวรายละ 40,000 บาท สำหรับผู้บาดเจ็บจะได้รับการจ่ายเงินเยียวยา รายละ 15,000 บาท
ให้“หางานใหม่ ทั้งในและต่างประเทศ” กระทรวงแรงงานจะเจรจาประสานให้กับแรงงานไทยที่ยังไม่หมดสัญญาและประสงค์จะกลับไปทำงานที่อิสราเอล (เมื่อเหตุการณ์สงบ) รวมทั้งสอบถามความสมัครใจของแรงงานหากไม่ประสงค์กลับไปทำงานที่อิสราเอล สามารถแจ้งความประสงค์ไปที่กระทรวงแรงงาน เพื่อเดินทางไปทำงานยังประเทศอื่น ๆ ในส่วนผู้ที่มีความประสงค์จะทำงานในประเทศไทย ทางกระทรวงแรงงานพร้อมหางานให้ โดยสามารถแจ้งมาได้ที่กรมการจัดหางาน
ด้านการ“ฝึกทักษะฝีมือ รองรับอาชีพใหม่” กับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สามารถติดต่อสถาบันและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานที่ตั้งอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อเข้ารับการฝึกทักษะด้านอาชีพเสริม และสามารถประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัวพร้อม“ดูแลสิทธิประโยชน์ และค่าจ้างค้างจ่าย” ประสานนายจ้างเพื่อดำเนินการจ่ายค่าจ้างส่วนที่ยังค้างจ่าย ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา หามาตรการพักชำระหนี้สำหรับแรงงานที่กู้เงิน ธ.ก.ส.
ในกรณีเสียชีวิตจะให้ความช่วยเหลือด้วยการยกหนี้ให้ทั้งหมด กรณีกลับประเทศอย่างปลอดภัย ธนาคารจะช่วยเหลือด้วยการลดดอกเบี้ยเหลือ ร้อยละ 0.01 เป็นเวลา 3 ปี และพักเงินต้นกับดอกเบี้ยให้เป็นเวลา 1 ปี (มีลูกค้า ธ.ก.ส.เข้าเงื่อนไข 150 ราย วงเงินกว่า 10 ล้านบาท โดยจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ ธ.ก.ส.พิจารณาภายใน เดือนนี้) และมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลอิสราเอล กรณีบาดเจ็บ ถ้าได้รับบาดเจ็บเกินกว่า 10% แต่ไม่เกิน 19% จะเยียวยา 1.4 ล้านบาท ถ้าบาดเจ็บเกิน 20% ขึ้นไป จะให้การดูแลตลอดชีวิต กรณีเสียชีวิต ภรรยาจะได้เงินตลอดระยะเวลาที่ยังไม่แต่งงานใหม่ ประมาณ 30,000 กว่าบาทต่อเดือน และบุตรจะได้รับการดูแลเดือนละ 10,000 – 15,000 บาท จนถึงอายุ 18 ปี
ซึ่งขณะนี้ จังหวัดได้มอบหมายให้สำนักงานจัดหางานจังหวัดฯ จัดหาตำแหน่งงานว่างไว้รองรับ มอบหมายให้สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดฯ จัดเตรียมหลักสูตรฝึกอาชีพระยะสั้นให้ตรงกับความต้องการของแรงงานที่ต้องการทำ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นให้กับแรงงานที่กลับภูมิลำเนาได้มีอาชีพมีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวต่อไป สำหรับการเยียวยาทางด้านจิตใจนั้น ได้มอบหมายให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด จัดทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต (Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team) หรือ ทีม MCATT (ทีมเอ็มแคท) เข้าไปดูแลแรงงานที่กลับจากอิสราเอลทุกรายเพื่อให้มีจิตใจที่เข้มแข็งสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติโดยเร็วที่สุด