ทนายอั๋นบุรีรัมย์ พาผู้เสียหายคดีเต็นท์รถมือสองชื่อดังฉ้อโกงซื้อขาย-แลกเปลี่ยนรถหลายจังหวัดกว่า 200 คดี บุกยื่นคำร้องค้านประกันตัวเสี่ยเจ้าของเต็นท์สุดแสบ เหยื่อเผยคดียืดเยื้อนานกว่า 6 ปี จนบางคนหมดตัวตรอมใจตายครอบครัวแตกแยก แต่หลังทนายดังยื่นมือช่วยจนอัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาก็เริ่มมีหวัง





วันที่ 28 พ.ย. 2566 นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋นบุรีรัมย์ ได้พาผู้เสียหายคดีที่ถูกเต็นท์รถมือสองรายใหญ่ใน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ฉ้อโกงในการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถทั้งรายเก่าและรายใหม่ จากหลายจังหวัดภาคอีสาน เช่น จ.บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม และ จ.นครราชสีมา กว่า 200 คดี ถือป้ายแสดงสัญลักษณ์ที่หน้าศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ข้อความว่า “6 ปีที่รอคอยวันนี้มาถึงแล้ว เต็นท์รถฉ้อโกงประชาชน อัยการสั่งฟ้องต่อศาล ขอคืนความยุติธรรมสู่พี่น้องประชาชน 200 กว่าคดี” หลังจากอัยการจังหวัดได้พิจารณาสั่งฟ้องเสี่ยเจ้าของเต็นท์รถพร้อมพวก ที่ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ได้รับความเสียหายหลายร้อยล้านบาท พร้อมกันนี้ยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์เพื่อขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา เพราะเกรงจะไปข่มขู่ผู้เสียหายหรือไปหลอกลวงประชาชนคนอื่นอีก เพราะก่อนหน้านี้แม้ประชาชนที่ถูกหลอกจะเข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี และยื่นร้องขอความเป็นธรรมกับหลายหน่วยงาน แต่ผู้ต้องหาก็ยังไม่สำนึกหรือเกรงกลัวความผิด ยังไปก่อเหตุหลอกลวงประชาชนได้รับความเสียหายอยู่อย่างต่อเนื่อง

โดยผู้เสียหายต่างบอกตรงกันว่าอยากให้ผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และนำเงินที่ฉ้อโกงประชาชนด้วยวิธีการต่างๆ จากการหลอกให้ซื้อขายแลกเปลี่ยนมาคืนให้กับผู้เสียหายด้วย เพราะหลายคนเดือดร้อนซ้ำยังเป็นหนี้เพิ่มอีก ที่ผ่านมาผู้เสียหายบางคนตั้งใจจะนำรถมาขายเพื่อนำเงินไปหมุนทำมาหากิน แต่กลับต้องหมดตัว ถูกฟ้องยึดบ้านเครียดตรอมใจตายและครอบครัวแตกแยก
นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บอกว่า วันนี้ได้พาผู้เสียหายที่ถูกเต็นท์หลอกสูญเงินหลายร้อยล้านมาถือป้ายแสดงสัญลักษณ์หลังจากพนักงานอัยการสั่งฟ้องศาลแล้ว หลังจากคดียืดเยื้อมานานเกือบ 10 ปี พร้อมกันนี้ยังได้มายื่นคำร้องต่อศาลเพื่อคัดค้านการประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราว เพราะพฤติการณ์ของผู้ต้องหาแก๊งดังกล่าวกระทำการโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย สร้างความเดือดร้อนเสียหายให้กับประชาชนจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท จึงเกรงว่าหากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวอาจจะไปข่มขู่ผู้เสียหาย หรือก่อเหตุหลอกลวงประชาชนคนอื่นอีก ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ผู้เสียหายแจ้งความร้องทุกข์ และยื่นร้องต่อหลายหน่วยงานเป็นเวลาเกือบ 10 ปี ผู้ต้องหาก็ยังไม่ถูกดำเนินคดี กระทั่งตนยื่นมือเข้ามาช่วยภายใน 3 เดือนทางอัยการจึงได้ทยอยสั่งฟ้อง หลังจากนี้ก็รอกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตามหากผู้เสียหายที่ถูกหลอกรายใดยังไม่ได้แจ้งความร้องทุกข์ ก็สามารถไปแจ้งความเพิ่มได้
นายนิคม แม่นศรรา หนึ่งในผู้เสียหายชาว จ.มหาสารคาม บอกว่า กรณีของตนเองตั้งใจจะนำขายรถเก๋งมา เพราะต้องการเงินไปหมุนทำธุรกิจ ซึ่งทางเต็นท์เสนอราคาให้สูงถึง 320,000 บาท จึงตกลงขายช่วงเดือน ก.พ.63 แต่ทางเต็นท์กลับโน้มน้าวให้เอารถเก๋งคันอื่นในเต็นท์ที่มีราคาถูกกว่าไปขับ โดยเสนอให้ดาวน์ก่อน 50,000 บาท ที่เหลือก็ค่อยผ่อนต่อ โดยเงินดาวน์จะหักจากเงินที่ตนตกลงขายรถเก๋ง จากนั้นก็ให้จอดรถไว้ที่เต็นท์ แล้วให้เอารถเก๋งอีกคันไปขับแทน ส่วนเงินที่ตกลงซื้อขายรถค่อยมารับวันหลัง แต่พอตนมาทวงถามเงินที่ตกลงขายรถเก๋งทางเต็นท์กลับบ่ายเบี่ยงอ้างโน่นนี้ ส่วนรถเก๋งที่ถูกหลอกให้ดาวน์ไปขับก็ยังติดไฟแนนซ์จึงตัดสินใจเอามาคืน แต่ทางเต็นท์กลับไม่ยอมจ่ายเงินที่ซื้อขายรถให้ สุดท้ายก็เสียทั้งรถเก๋ง แถมยังต้องหาเงินจ่ายไฟแนนซ์อีก เงินก็ไม่ได้รถก็ไม่มีขับ ที่ผ่านมาทั้งแจ้งความร้องเรียนแต่ก็ไม่คืบหน้า กระทั่งทนายอั๋น ยื่นมือเข้ามาช่วยจนล่าสุดอัยการได้สั่งฟ้อง ก็เริ่มมีความหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรม เพราะที่ผ่านมาผู้เสียหายบางคนที่ถูกโกงจนหมดตัวจนตรอมใจตาย ครอบครัวแตกแยก
ไม่ต่างจากนางทองคำ ทวีรัมย์ ภรรยานายพวง จุติประโคน เหยื่ออีกราย บอกว่า ไปซื้อรถหกล้อที่เต็นท์ดังกล่าวช่วง ต้นเดือน ธ.ค.65 เพื่อจะมารับจ้างถมดิน ก็ยอมกู้เงินนอกระบบ 6 แสน ไปซื้อรถที่เต็นท์ซึ่งขายในราคา 550,000 บาท แต่พอทำสัญญาและจ่ายเงินไปแล้ว 500,000 บาท กลับไม่มีเล่ม จึงขอขยักเงินไว้ก่อน 5 หมื่นจนกว่าจะได้เล่ม แต่จู่ๆ ทางเต็นท์กลับส่งลูกน้องไปขโมยเอารถหกล้อที่บ้าน อ้างว่าสามียังจ่ายเงินไม่ครบอีก 50,000 บาท ทั้งที่ตกลงว่าถ้าได้เล่มจะจ่าย 5 หมื่นบาทที่เหลือให้ สุดท้ายก็เสียทั้งเงิน 5 แสน และรถหกล้อไป ก็มีการฟ้องร้องต่อสู้จนชนะคดีแพ่งศาลสั่งให้ชดใช้เงินแต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้เงินสักบาท จึงอยากให้ดำเนินคดีตามกฎหมายกับเจ้าของเต็นท์และพวก และอยากให้คืนเงินด้วย