
เจ้าของเพจ โอวาข้าวหอมมะลิแท้สุรินทร์ 100% หรือ “โอวากะเทยขายข้าว” ลูกหลานชาวนาที่อยู่กับวัฎจักรความจนของพ่อ แม่ ลืมตาอ้าปากได้การตลาด มาประยุกต์ใช้ มองหาจุดเด่นในการเป็นข้าวอินทรีย์ ข้าวใหม่พร้อมส่ง ที่ตลาดใหญ่ไม่สามารถทำได้ เข้ามาเป็นจุดขาย จนทำให้เขาสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ปลดหนี้ที่แม่จำนำข้าวไว้ ได้ทั้งหมดภายใน 1 สัปดาห์ พร้อมทั้งยังได้ส้รางโรงสีข้าวขนาดเล็กเป็นของตัวเอง และให้เพื่อนบ้านเข้ามาร่วมสีข้าว โดยก่อนหน้านี้“โอวากระเทยขายข้าว”นั้นได้ไลดลงเพจแต่งตัวเป็นหญิงข้างหลังติดใบตองกล้วยใช้ไม้พลิกข้าวไปมาที่ตากแดดเพื่อให้ข้าวแห้ง










วันที่ 10 พฤศจิกายน 2567 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านเลขที่ 16 หมู่ 12 บ้านตาโมมพัฒนา ต.สะกาด อ.สังขะ จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นบ้านของโอวาข้าวหอมมะลิแท้สุรินทร์ 100% “โอวากระเทยขายข้าว” หรือนาย ธนาวัฒน์ จันนิม อายุ 37 ปี ผู้สื่อข่าวได้พบ“โอวากระเทยขายข้าว”กำลังใช้ไม้พลิกกองข้าวไปมาที่ตากข้าวไว้ที่ลานตากข้าว เป็นคอนเท้นการขายข้าวออนไลน์ หลังจากนั้นก็จะนำไปสีข้าวเปลือก และนำมาบรรจุส่งขายให้ลูกค้าตามออเดอร์
สัมภาษณ์ นาย ธนาวัฒน์ จันนิม หรือโอวาข้าวหอมมะลิแท้สุรินทร์ 100% “โอวากระเทยขายข้าว” ผลผลิตข้าวปีนี้ค่อนข้างดทางโซนอีสานเนื่องจากน้ำดี ก็เลยได้ผลผลิตค่อนข้างสูง ส่วนยอดขายนั้น พอผลิตดีโอวาคิดว่าเนื่องจากคนอื่นได้ผลกระทบค่อนข้างเยอะทำให้ราคาข้าวถูกมาก โดยเฉพาะของจังหวัดสุรินทร์ราคาข้าวเปียกอยู่ในกิโลกรัมละ 12 บาท ซึ่งเป็นอัตราค่อนข้างสูงกว่าทุกปีเลย ซึ่งพอตากข้าวไปแต่ก็ยังสูงกว่าทุกปีเลย ส่วนราคาสูงหรือราคาต่ำ สำหรับโอวานะที่เป็นเกษตรกรเป็นชาวนาที่ปลูกข้าวและสีข้าวขายเองเราไม่ได้แคว่าจะราคาจะสูงหรือต่ำ เพราะว่าเราสีข้าวขายเอง และเราขายในราคากิโลกรัมละ 50 บาท ซึ่งมันได้กำไรอยู่แล้ว โดยจริงๆเรามองว่าต้นทุนของการปลูกข้าวมันสูงอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นค่าอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าที่ โดยเฉพาะคนที่ไม่มีที่ทำกิน เท่าที่ถามมันก็มีปัจจัยอื่นๆอีกเยอะ เพราะฉะนั้นที่โอวาสีข้าวขายเองโอวาก็จะกำหนดราคาข้าวขายเองว่าจะขายเท่าไรและเท่าไรเราถึงจะขายอยู่รอดได้ เท่าไรถึงจะได้กำไร และเท่าไรครอบครัวเราจะอยู่ดีกินดีขึ้น
โอวาข้าวหอมมะลิแท้สุรินทร์ 100% “โอวากระเทยขายข้าว” กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์โลกที่บอกว่าราคาข้าวพื้นที่ต่างๆเขาปล่อยเข้ามาแนวโน้มราคาตกมาเลื่อยๆ โอว่าว่าจริงๆแล้วข้าวไทยยังมีศักยภาพสูงแต่ติดตรงที่ต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูง เราใช้ต้นทุนการผลิตข้าวต่อ 1 กิโลมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านมากกว่าประเทศอื่นๆ ทำให้ตลาดข้าวเราสู้กับตลาดโลกค่อนข้างยาก สิ่งทำได้ไม่ใช่กำหนดราคาข้าวว่าขายได้เท่าไร บางทีเราต้องกลับไปดูที่ต้นทุนมากกว่า ค่าน้ำมัน ค่าตี ค่าอบ ค่าตาก และค่าแรงงานต่างๆ มันล้วนมีปัจจัย เราไม่ได้มองว่าเราขายข้าวได้เท่าไร แต่อยากให้มองจริงๆแล้วเราเหลือเงินเท่าไรในการปลูกข้าว 1 ไร่ ซึ่งเมื่อต้นทุนสูงต่อให้ข้าวราคาสูงเท่าไรแล้วสุดท้ายก็จะกำไรเหลือนิดเดียวแล้วมันก็ย้อนกลับไปว่าทำไมยิ่งทำยิ่งจนเนื่องจากต้นทุนมันสูง แต่ส่วนใหญ่เขาก็ชาวนามันไม่ใช่อาชีพสำหรับคนอย่างสุรินทร์เราคือวิถีชีวิต ฉะนั้นวิถีชีวิตมันก็เหมือนศาสนาเราไม่สามารถเปลี่ยนได้ ซึ่งถ้าเราไม่ปลูกข้าวเราก็ต้องซื้อกินค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งอยากให้รัฐมาช่วยมาช่วยดูแลเรื่องต้นทุนการผลิตไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมัน หรือค่าอะไรต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับผลผลิตการเกษตรโดยเฉพาะข้าว เพราะว่ายังไงคนก็กินข้าวซึ่งอย่างน้อยต้องมีคำว่ายังไงก็มีข้าวกินอยู่คู่คนไทยตลอดไป
สำหรับที่มาของข้าวหอมสุรินทร์ ที่ “โอวากระเทยขายข้าว” นำมาขายในครั้งนี้ มาจากในตอนแรก เรามองหาสิ่งที่ใกล้ตัวเรา และนำมาขาย เพราะเรารู้สึกว่า ถ้าล้มเหลวก็ไม่เจ็บตัวมากนัก ก็เลยเป็นข้าวที่มาจากนาของโอวาเอง เพราะเรากินมาตั้งเด็กจนโต เราค่อนข้างมั่นใจว่า ข้าวเรามีคุณภาพเราถึงกล้าขายและบอกต่อ จริงๆ “โอวากระเทยขายข้าว” ว่า ไม่ได้เฉพาะข้าวของเราหรอก ไม่ว่าเราจะขายอะไร เราก็ต้องเชื่อมั่น และมั่นใจในคุณภาพของสินค้าของเราก่อนที่ตัดสินใจนำมาขายและบอกต่อ
ส่วนข้าวหอมมะลิของ“โอวากระเทยขายข้าว”เอง เป็นข้าวที่ปลูกแบบไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ไม่ได้ใส่สารเคมีที่เป็นอันตราย และที่บ้านของเราก็มีเครื่องสีข้าวเล็กๆ ที่เราสามารถที่จะสีข้าวตามออเดอร์ที่ลูกค้าสั่งเท่านั้น พอสีเสร็จแพคเลย ไม่มีการอบมอด ทำให้ปลอดภัย ปลอดสาร ส่งตรงจากเกษตรกร ถึงผู้บริโภคโดยตรง
ในส่วนการตั้งราคา และแพจเกจจิ้ง “โอวากระเทยขายข้าว”บอกว่า สิ่งแรกที่เราคิดได้คือ ตรงไปยังห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนเลย ไปไล่ดูสินค้า คู่แข่ง และราคาที่เป็นไปได้ เลยมาลงตัวที่ราคากิโลกรัมละ 50 บาท แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ราคา เพราะเราตั้งราคาที่สมเหตุสมผล แต่ปัญหาที่ทำให้หลายคนมองว่าข้าวเราแพง เพราะค่าขนส่ง ต่อกิโลกรัมอยู่ที่ 35 บาท ซึ่งเป็นปัญหาที่เราต้องกลับมาทำการบ้านและแก้ไขกันต่อไปว่าจะทำอย่างไรให้สามารถแก้ปัญหาราคาค่าขนส่งที่ทำให้ต้นทุนข้าวของเราแพงกว่า ในซุปเปอร์มาร์เก็ตให้ได้