
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 18 ธันวาคม 2567 ขณะที่ ร.ต.อ.ปรีชา กังขอนนอก รอง สวป. และร.ต.ท.บุญเจอ หมั่นอุตสาห์ รอง สว.สส.สภ.ย่อยนาข่า อ.เมืองอุดรธานี นำกำลังออกปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่รับผิดชอบ ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 จว.อุดรธานี ว่า มีหญิงสาวชาวเชียงราย 2 คน ขอความช่วยเหลือให้ส่งตัวกลับบ้าน หลังโดนหลอกมาทำงาน และถูกปล่อยทิ้งไว้ที่ห้องหมายเลข 17 ในไฮโซรีสอร์ท ถ.มิตรภาพ อุดรธานี-หนองคาย ม.5 ต.หมูม่น อ.เมืองอุดรธานี หลังจากได้รับแจ้งจึงรีบนำกำลังออกไปตรวจสอบ แล้วนำตัวมาทำการสอบสวน






จากการสอบสวนทราบว่าหญิงสาวทั้ง 2 คนคือ น.ส.จุฬาลักษณ์ แก้วรากมุข หรือบี อายุ 39 ปี อยู่ บ้านเลขที่ 240 ม. 5 บ.ห้วยน้ำราก ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย และหลานสาว คือน.ส.สุวนันท์ ราวิชัย หรือแพร อายุ 28 บ้านเลขที่ 66 ม.5 บ.ห้วยน้ำราก ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย และทั้ง 2 คนได้ร่วมกันให้ข้อมูลในการสอบสวนไว้กับ พ.ต.ท.รุ่งศักดิ์ มหาปัญญาวงศ์ รอง ผกก. หน.สภ.ย่อยนาข่า และพ.ต.ท.วัฒพงศ์ จำนงอุดม สว.สอบสวน สภ.ย่อยนาข่า
น.ส.จุฬาลักษณ์ฯ ให้การว่า ได้ติดต่อกับนงลักษณ์ ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่รู้จักกันในเรือนจำกลาง จ.เชียงราย เมื่อครั้งตนต้องโทษในคดียาเสพติด โดยติดต่อกันทางเฟสบุ๊ก ซึ่งทาง น.ส.นงลักษณ์ ได้ชักชวนตนมาทำงานที่บ่อนปรอยเปรต ประเทศกัมพูชา และได้พูดคุยกันมาตลอด ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.67 ตนได้ตกลงไปทำงานตามที่ น.ส.นงลักษณ์ฯ ได้โอนเงินค่าเดินทางมาให้พวกตนเดินทางจากบ้านมาที่ กทม. และ น.ส.สุวนันท์ ฯ ซึ่งเป็นหลานสาวได้ขอเดินทางมาทำงานกับตนด้วย และจะได้เงินก่อนคนละ 10,000 บาท จากนั้นจึงพากันเดินทางโดยรถทัวร์เข้า กทม. เมื่อมาถึงหมอชิต ตนและหลานสาว พากันเข้าพักที่ห้องพักไม่ทราบชื่อแถวพระราม 2 ตามคำแนะนำของ น.ส.นงลักษณ์ฯ
ต่อมาวันที่ 16 ธ.ค.67 น.ส.นงลักษณ์ฯ ได้ชักชวนและพาไปเปิดบัญชีธนาคารคนละประมาณ 10 บัญชี รวม 20 บัญชี ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่ง น.ส.นงลักษณ์ฯ แจ้งว่าจะต้องนำบัญชีไปด้วย เพื่อใช้ในการทำงาน และโอนเงินเดือนเข้าและออก แต่ตนและหลานสาวไม่เต็มใจแต่อย่างใด เพราะกลัวหลอกเปิดบัญชีม้า และเขาก็เข้าไปเปลี่ยนรหัสบัญชีธนาคารทั้งหมด พร้อมกับสแกนใบหน้าของพวกตนด้วย ซ้ำยังให้พวกตนลบแอพบัญชีธนาคารทั้งหมดอีก ที่ตนตัดสินใจไปทำงานเพราะเพิ่งพ้นโทษออกมา และไม่มีงานทำ จึงตัดสินใจไปทำงานตามที่ น.ส.นงลักษณ์ฯติดต่อมา
ต่อมาเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.67 เวลาประมาณ 13.00 น. น.ส.นงลักษณ์ฯ จะพาผู้แจ้งทั้งสองส่งตัวไปทำงานที่ปรอยเปรต แต่ตนและหลานสาวรู้ตัวว่าน่าจะถูกหลอก จึงได้โทรศัพท์แจ้งให้ญาติแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยส่งพิกัดให้ญาติว่า ตนและหลานสาวกำลังเดินทางไปไหนบ้าง ขณะเดินทางออกจาก กทม. เชื่อว่าคนที่มาส่งไปปรอยเปรตรู้ตัวก่อน เป็นชายอายุประมาณ 30-40 ปี รวม 3 คน ขับรถยนต์สีบรอนซ์เทา ออกจากห้องพักแถวพระราม 2 เมื่อเดินทางไปถึง จ.ฉะเชิงเทรา เขากลับเปลี่ยนเส้นทาง เพื่อหลบด่านตรวจ และได้ขับรถมาเรื่อยๆ ผ่าน จ.นครราชสีมา จ.ขอนแก่น และมาทิ้งไว้ที่ห้องพักในไฮโซรีสอร์ท ต.นาข่า อ.เมืองอุดรธานี เมื่อเวลาประมาณ 23.17 น. วันเดียวกัน (17 ธ.ค. 68) นำบัตรประชาชนของพวกตนไปเปิดห้องพัก และไม่นำมาคืนให้ เขาอ้างว่าที่เปิดบัญชีไม่ใช่บัญชีม้า แต่ทำไมถึงเปิดหลายบัญชีหลายธนาคาร และตนเชื่อว่าโดนหลอกเปิดบัญชีม้าอย่างแน่นอน และเขาบอกว่าจะมารับไปส่งที่ปรอยเปรตตอนชวงเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งตอนที่เปิดบัญชีและเปลี่ยนระหัสบัญชีพวกเขาบังคับพวกตนให้ทำตาม
กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น (18 ธ.ค. 67) ตนและหลานสาวมั่นใจว่าโดนหลอก จึงไปขอความช่วยเหลือกับพนักงานต้อนรับ และโทรแจ้ง 191 สักพัก ตำรวจ สภ.ย่อยนาข่า ก็เดินทางไปตรวจสอบ และพาไปลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน และสอบปากคำ เพราะกลัวเขาจะนำบัญชีธนาคารพวกตนไปทำผิดกฎหมาย หรือบัญชีม้าของมิจฉาชีพ ที่ตนตัดสินใจไม่ไปทำงานที่ปรอยเปรต หากข้ามไปแล้วกลัวจะไม่ได้กลับบ้าน เพราะบัตรประชาชนก็โดนยึดไปทั้งสองคน
“จึงตัดสินใจแจ้งตำรวจมาช่วยเหลือเดินทางกลับบ้าน แถม น.ส.นงลักษณ์ ยังส่งข้อความมาข่มขู่ ให้เอาเงินไปคืนพี่เขาทั้งหมด 19,000 บาท ถ้าไม่เอาไปคืนจะส่งคนไปหาที่บ้าน รู้สึกกังวลใจมากในตอนนี้ กลัวคนทางบ้านได้รับอันตราย เพราะทางบ้านไม่รู้ว่าตนจะไปทำงานที่ปรอยเปรต รู้เพียงว่าพวกตนไปทำงานที่บ่อนเท่านั้น และตอนนี้ได้โทรไปบอกพี่สาวที่บ้านแล้ว ”
พ.ต.ท.รุ่งศักดิ์ เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าวทาง พนักงานสอบสวน สภ.ย่อยนาข่า ได้รับแจ้งและลงบันทึกไว้เป็นหลักฐานแล้ว และได้ประสานไปยังตำรวจไซเบอร์ และตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้เช็คประวัติของ น.ส.นงลักษณ์ ว่าเคยไปก่อเหตุในลักษณะแบบนี้ที่ไหนบ้าง แต่ในพื้นที่ จ.อุดรธานี ยังไม่พบการกระทำความผิด เพื่อสืบสวนสอบสวนขยายผลติดตามขบวนการกลุ่มนี้มาดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย หลังจากนี้ทางเราจะพาผู้เสียหายไปทำบัตรประชาชน และพาไปทำการอายัดบัญชีที่ถูกแก๊งมิจฉาชีพหลอกเปิดบัญชี ที่ทางเราเชื่อว่าเป็นบัญชีม้า และส่งตัวผู้สียหายทั้งสองคนเดินทางกลับบ้านที่ จ.เชียงราย ต่อไป
“ฝากถึงประชาชนอย่าหลงเชื่อไปเปิดบัญชีให้คนอื่น ไม่ว่ากรณีใด ไม่เช่นนั้นจะตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพ และตกเป็นผู้ต้องหาอีกด้วย”
ต่อมาเวลา 11.00 น.วันเดียวกัน (18 ธ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังไฮโซรีสอร์ท เพื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิด ระบุเวลา 22.43 น. พบรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีอาร์วี สีบรอนซ์เทา ทะเบียน กว 6614 สงขลา ขับมาจอดที่หน้าสำนักงานรีสอร์ท แล้วนำบัตรประชาชนผู้เสียหายมาเปิดห้องพักหมายเลข 17 กับพนักงานต้อนรับผู้ชายที่ทำงานช่วงกลางคืน กระทั่งเวลา 08.32 น. วันที่ 18 ธ.ค.67 ผู้เสียหายทั้ง 2 คน ได้เดินมาขอความช่วยกับพนักงานต้อนรับผู้หญิงที่เข้าทำงานช่วงเช้า จากนั้นเวลาประมาณ 09.48 น. กลุ่มชายผู้ต้องสงสัย ขับรถยนต์คันเดิมมาสอบถามว่าผู้หญิงที่พักในห้องพักหมายเลขที่ 17 เช็คเอ้าท์ออกไปหรือยัง ก่อนขับรถออกไป
ต่อมาเวลา 11.20 น. ขณะผู้สื่อข่าวกำลังดูกล้อวงจรปิดอยู่ ก็มีรถยนต์ของกลุ่มผู้สงสัย ขับเข้ามาในรีสอร์ท พอเห็นผู้สื่อข่าวก็ได้ขับรถวนไปด้านหลัง และขับออกไปจากรีสอร์ทอย่างรวดเร็ว จากการสังเกตมีผู้ชายอยู่ในรถไม่ต่ำกว่า 2 คน คาดว่าจะมารับหญิงสาวทั้ง 2 ส่งไปทำงานตามที่สัญญากันไว้ หรืออาจจะมาขอเงินคืน
น.ส.พรชิตา ฤทธิ์ศรี หรือปิ่น อายุ 23 ปี พนักงานต้อนรับรีสอร์ทช่วงเช้า เปิดเผยว่า ช่วงเช้านี้มีผู้หญิง 2 คน ที่เข้าพักห้องหมายเลข 17 ที่อยู่ด้านหลังรีสอร์ท มาแจ้งกับตนให้ช่วยแจ้งตำรวจด้วยว่ากลุ่มผู้ชายที่พามาเปิดห้องพักได้ยึดบัตรประชาชนของพวกเขาไป หลังใช้เปิดห้องพัก ตนจึงโทรไปสอบถามพี่ผู้ชายที่อยู่เวรกลางคืนทราบว่าได้คืนบัตรให้กับผู้ชายที่มาเปิดห้องพักไปแล้ว พร้อมกับให้เจ้าของรีสอร์ทเปิดกล้องวงจรดู ก็พบว่าได้คืนให้ผู้ชายที่มาเปิดแล้วจริง จากนั้นชุดสืบสวน สภ.ย่อยนาข่า ก็มารับตัวผู้หญิงสองคนไปที่ สภ.ย่อยนาข่า แล้วต่อมาในเวลาประมาณ 09.30 น.กลุ่มผู้ชายที่ขับรถมาเปิดห้องพักให้หญิงสาวทั้ง 2 คน ได้ขับรถคันเดิมมา
สอบถามว่าผู้หญิงที่เข้าพักห้องหมายเลข 17 เช็คเอ้าท์ออกไปยัง ซึ่งตนก็ตอบว่าไม่รู้ เพราะตนไม่ได้ทำงานช่วงกลางคืน สักพักเขาก็ขับเข้ามาอีก แต่เขาไม่จอดถาม คงเห็นพี่ๆนักข่าวอยู่ด้วย และพวกเขาก็ขับออกไป”
หลังจากนั้น พ.ต.ท.รุ่งศักดิ์ มหาปัญญาวงศ์ รอง ผกก. หน.สภ.ย่อยนาข่า และพ.ต.ท.วัฒพงศ์ จำนงอุดม สว.สอบสวนสภ.ย่อยนาข่า ก็ได้ลงบันทึกไว้เป็นหลักฐานหลังสอบสวนเสร็จ แล้วก็ให้การดำเนินการช่วยเหลือตามขั้นตอนของกฎหมาย ต่อไป