
เหตุการณ์ดังกล่าวเมื่อคืนวันที่ (17 ธันวาคม 67) เวลาประมาณ 21.00 น. นายนิพนธ์ มะราชลี กำนันตำบลบ่อใหญ่ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม โทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บรบือ แจ้งเหตุ ลูกชายให้อาวุธมีดอีโต้ ทำร้ายแม่ อาการสาหัส เหตุเกิดที่บ้านเลขที่ 183/1 หมู่ 1 ต.บ่อใหญ่ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม โดยแม่ถูกฟันที่ศรีษะ เป็นแผลขนาดใหญ่ โดยญาติได้นำตัวส่งโรงพยาบาลบรบือ ส่วนตัวผู้ก่อเหตุได้หลบหนีไป เดินวนเวียนอยู่รอบหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้นำชุมชน ได้ติดตามตัวผู้ก่อเหตุ โดยต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะผู้ก่อเหตุมีอาวุธมีด ก่อนที่จะเข้าชาร์ทตัวไว้ได้ บริเวณถนนเส้นทางไปบ้านเก่าใหม่ ต.บ่อใหญ่ อ.บรบือ ห่างจากจุดที่เกิดเหตุประมาณ 500 เมตร






จากการตรวจสอบทราบว่า ผู้ได้รับบาดเจ็บ คือ นางสาวพิชาติ วิเศษ อายุ 57 ปี ถูกฟันเข้าที่ศรีษะเป็นแผลฉกรรจ์ 2 แผล ญาตินำตัวส่งโรงพยาบาลบรบือ ก่อนที่จะถูกส่งตัวต่อมาที่โรงพยาบาลมหาสารคาม อาการกะโหลกร้าว มีเลือดคั่งในสมอง ต้องเข้ารับการผ่าตัด
ส่วนผู้ก่อเหตุ คือ นายวัชระ วรจักร หรือ นายกั๊ก อายุ 26 ปี เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไปที่ สภ.บรบือ ก่อนมีรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 18 ธันวาคม นายกั๊ก ได้ใช้เสื้อผูกคอ ภายในห้องขัง เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าเวร ได้ทำการช่วยเหลือ ช่วยกันแก้เสื้อที่ผูกคอออก แล้วนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่นายกั๊ก เสียชีวิตในที่สุด
ล่าสุดวันที่19 ธันวาคม 67เวลา 08.00 น. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ที่บ้านหลังเกิดเหตุ เป็นบ้านยกใต้ถุงสูงประมาณ 2 เมตร ผนังบ้านเป็นวีว่าบอร์ด บนตัวบ้านยังมีคราบเลือดจำนวนมากอยู่บริเวณประตู กลางบ้าน ตามผ้าห่มและที่นอน โดยญาติได้พาไปดูจุดที่เกิดเหตุ นายกั๊กปีนโอ่งเข้ามาทางหน้าต่างบ้าน เพราะแม่ล็อกประตูบ้าน ซึ่งห้องนอนของนายกั๊ก อยู่บริเวณข้างบ้าน เมื่อปืนเข้าบ้านมาได้ ก็ไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง ใช้มีดอีโต้ฟันเข้าที่หัวแม่ 2 ครั้ง ซึ่งพ่อของนายกั๊ก ก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะพ่อเป็นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง เคลื่อนไหวตัวช้า และแขนขาอ่อนแรง
นางสาวนิภาพร น้าของนายกั๊ก เล่าว่า ขณะเกิดเหตุตนเองไม่อยู่บ้าน ออกไปทำงาน พอกลับมาบ้านก็ทราบว่า นายกั๊กทำร้ายแม่แล้ว ซึ่งนายกั๊กไม่ได้ทำงานอะไร อยู่บ้านเฉย ๆ เคยเข้ารับการบำบัดยาเสพติด 2 ครั้ง เมื่อนานมาแล้ว ทุกวันนี้ก็กินยาจิตเวช แต่มาช่วงหลัง ๆ ไม่ได้กินยาก็เลยมีอาการ ซึ่งตัวของนายกั๊กจะเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยคุยกับใคร ทะเลาะกับแม่บ่อย เพราะขอเงินแม่ไปซื้อยา วันเกิดเหตุตอนเช้าก็มาขอเงินแม่ แม่ก็ให้ไป แต่ก็ไม่รู้ทำไมพอตกกลางคืนมาก่อเหตุ ปกติแม่จะเป็นเสาหลักของบ้าน ทำกับข้าว ทำของหวานไปขายให้กับคนงานในไซต์งานก่อสร้างเส้นทางรถไฟรางคู่ ได้เงินมา นายกั๊กก็จะขอทุกวัน
นายสง่า วรจักร อายุ 55 ปี พ่อของนายกั๊ก สามีของนางสาวพิชาติ เล่าว่า เหตุเกิดช่วงเวลาประมาณ 20.00 น. นายกั๊กมาเปิดก๊อกน้ำทิ้ง ให้น้ำไหลออก พอแม่รู้ ก็เรียกตนให้มาดู ตนก็บอกว่าลูกชายอยู่ ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องไปยุ่ง ลูกชายไม่ได้ทำงาน อยู่บ้านเฉย ๆ ขอเงินอย่างเดียว ขอเงินแม่วันละ 50-100 บาท เอาไปซื้อยาบ้า ช่วงที่ลูกไปบำบัดกลับมาใหม่ ๆ ก็ดูอาการดีขึ้น แต่ก็ได้มานาน เพราะกลับเข้าไปสู่วังวนเดิม เคยไปบำบัด 2 ครั้ง ตอนเกิดเหตุ นายกั๊กปีนเก้าอี้ แล้วปีนโอ่งแดง เข้าไปทางหน้าต่าง ไม่พูดไม่จา ก่อนใช้มีดอีโต้ ฟันเข้าที่ศรีษะของแม่อย่างแรง 2 ครั้ง ตนเองนอนอยู่ข้างโทรทัศน์ เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะตนเองเป็นโรคหลอดเลือดสมอง การเคลื่อนไหว การพูดจาจะเชื่องช้า แขนขาไม่ค่อยมีแรง ที่ผ่านมามีแต่ทะเลาะกันตามประสาแม่ลูก แต่ไม่เคยถึงขั้นลงไม้ลงมือ ครั้งนี้ครั้งแรก สาเหตุที่ทำลงไปอาจเป็นเพราะ เก็บกด เรื่องไม่ได้เสพยาเต็มที่ เพราะเมื่อวานแม่ไม่ได้ให้เงิน ส่วนมีดอีโต้ก็เอาซ่อนไว้ในห้อง เพื่อเตรียมก่อเหตุ หลังเกิดเหตุเมียก็ยังพูดคุยรู้เรื่อง มาซึมตอนมาล้างเลือดอยู่ที่โอ่งข้างบ้าน ปกติเมื่อก่อนตนทำงานเป็น รปภ. อยู่กรุงเทพฯ ก็ช่วยกันทำมาหากินกับเมีย เพิ่งจะกลับมาอยู่บ้านได้ 4 ปี พอตนเองป่วยเมียก็ต้องเป็นเสาหลักให้กับที่บ้าน เสียใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น เสียใจเพราะช่วยเมียไม่ได้ นายสง่ากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ด้านนายนิพนธ์ มะราชลี กำนันตำบลบ่อใหญ่ กล่าวว่า ภายหลังจากที่ได้รับแจ้งเหตุ ตนก็ออกมาดูสถานการณ์ว่าเป็นยังไง พบผู้บาดเจ็บคือแม่นั่งอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน ตนเห็นเลือดออกเยอะ ก็เลยให้คนพาไปโรงพยาบาล ส่วนตัวของนายกั๊กผู้ก่อเหตุ จะได้ประสานกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บรบือ มาตามหาตัว เพราะได้หลบหนีออกไปจากบ้าน เข้าไปเดินอยู่ในวัด จึงได้โทรศัพท์แจ้งเจ้าอาวาส ให้ระวังตัว และให้อยู่ภายในกุฏิ เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตราย เนื่องจากนายกั๊กมีอาวุธมีดติดตัว เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง ก็ติดตามอยู่ห่าง ๆ ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะควบคุมตัวได้ โดยการเข้าชาร์จและใช้ไม้ง่าม จับกุมได้ที่ถนนทางไปบ้านเก่าใหม่ ห่างจากบ้านที่เกิดเหตุประมาณ 500 เมตร ใช้เวลาในการควบคุมตัวประมาณ 1 ชั่วโมง อาวุธที่ใช้ก่อเหตุเป็นมีดอีโต้ ความยาวประมาณ 40-50 เซนติเมตร ปกติพฤติกรรมของนายกั๊ก ที่จะทำร้ายร่างกายคนในครอบครัวไม่เคยมี แต่จะมีในลักษณะก้าวร้าว พูดจาข่มขู่ เอาเงินจากแม่ มีตลอดทุกวัน ส่วนแม่ก็ขายของทำกับข้าว ทำของหวานไปขาย ที่ไซต์งานก่อสร้าง เส้นทางรถไฟรางคู่ ใกล้ ๆ หมู่บ้าน ลูกขอเงินอย่างเดียว ซึ่งผู้ที่เคยเข้ารับการบำบัดยาเสพติดในหมู่บ้านนี้มีแค่รายเดียว ครั้งนี้หนักมาก แม่ล็อกประตูบ้าน แต่ผู้ก่อเหตุปีนหน้าต่างเข้าไปฟันศรีษะในบ้าน ไม่รู้สาเหตุว่าอะไรเป็นเหตุจูงใจที่ทำให้ก่อเหตุขึ้น อาจจะทะเลาะกัน หรือขอเงินแม่ไม่ได้ อันนี้ตนก็ไม่ทราบ ส่วนที่นายกั๊กผูกคอในห้องขังนั้น คาดว่าน่าจะสำนึกผิดได้ ว่าทำอะไรแม่ไว้ ก็เลยตัดสินใจก่อเหตุขึ้น
ขณะที่ พล.ต.ต.พรชัย ชลอเดช ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมหาสารคาม กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บรบือ ได้ควบคุมตัวนายวัชระ อายุ 26 ปี ไว้เพื่อดำเนินคดีในข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต และมีพฤติกรรมให้มีดพร้าอีโต้ ฟันศรีษะมารดาของตนเอง ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ต่อมาในช่วงเช้าวันที่ 18 ธันวาคม 67 เวลา 08.06 น. สิบเวรพบว่านายวัชระ ได้ใช้เสื้อแขนยาวที่สวมใส่ผูกคอตนเองในห้องขัง ซึ่งช่วงนี้ที่ จ.มหาสารคาม อากาศหนาว อุณหภูมิช่วงเช้า 16-17 องศา ผู้ต้องหาสวมใส่เสื้อแขนยาวเพื่อให้ความอบอุ่น แต่ก็ใช้เสื้อเป็นวัตถุในการก่อเหตุ ผูกกับลูกกรง ในลักษณะทิ้งตัว ทำให้ขาดอากาศ ตอนที่เจ้าหน้าที่ไปพบ ยังไม่เสียชีวิต ก็ได้ทำการช่วยเหลือ นำตัวส่งโรงพยาบาลบรบือ แต่ก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา
ซึ่งหลังจากนี้จะได้ให้รองผู้บังคับการ ที่รับผิดชอบงานสอบสวนลงไปที่ สภ.บรบือ เพื่อดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริง รวบรวมพยานหลักฐานว่าเค้าทำร้ายตัวเองจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ช่วยเหลือสุดความสามารถแล้วและได้นำตัวส่งโรงพยาบาล ซึ่งเบื้องต้นทางญาติไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต เนื่องจากผู้เสียชีวิตอาละวาด ทำร้ายแม่จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่เข้าควบคุมตัว ตรวจหาสารเสพติดในร่างกายก็พบว่ามีสารเสพติดในร่างกายจริง ในส่วนของทางคดีก็ถือเป็นอันสิ้นสุด ทั้งคดีเสพยาเสพติด และคดีทำร้ายร่างกายบุพการี เพราะผู้ต้องหาเสียชีวิตแล้ว ในส่วนที่ผู้ต้องหาเสียชีวิต ก็เป็นคดีเกี่ยวกับการเสียชีวิตระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงาน ก็จะได้มอบหมายรองผู้บังคับการที่รับผิดชอบดูแลงานสอบสวนไปตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป