
เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 27 มกราคม 2568 ที่สภ.บ้านไผ่ พล.ต.ท.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ ผบช.ภ.4 นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.ขอนแก่น พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม รอง ผบช.ภ.4 พ.ต.อ.ถนมสิทธิ์ วงษ์วิจารณ์ รอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น พ.ต.อ.ปรัชญามาศ ไชยสุระ ผกก.สภ.บ้านไผ่ และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าว ผลการจับกุมนายวันชัย เหมโพธิ์ อายุ 41 ปี ที่อยู่ 25 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ เป็นคนขับและนายลิขิต คำเลื่อม อายุ 34 ปี ที่อยู่ 63 ม.12 ต.บ้านโคก อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ในข้อหาร่วมกันจำหน่ายโดยมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมายการกระทำเพื่อการค้า อันก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนและทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป พร้อมของกลางยาบ้า 4 ล้านเม็ด และยึดรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า วิท สีดำ ทะเบียน กฉ 7871 เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นยานพาหนะในการขนยาบ้า 1 คัน ซึ่งทั้ง 2 คนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสภ.บ้านไผ่ จับกุมตัวได้พร้อมยาบ้าเมื่อคืนวันที่ 25 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ที่ถนนทางเข้าบ้านสว่าง ต.หินตั้ง อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น












พล.ต.ท.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ ผบช.ภ.4 กล่าวว่า การจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 รายพร้อมยาบ้า 4 ล้านเม็ด ในครั้งนี้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.บ้านไผ่ สืบทราบว่า จะมีขบวนการค้ายาเสพติด ลักลอบขนยาเสพติดมาจากจังหวัดนครพนม และจะทำการส่งต่อให้เครือข่าย ที่ถนนทางเข้าบ้านสว่าง ต.หินตั้ง อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น เจ้าหน้าที่จึงนำกำลังดักซุมในบริเวณดังกล่าว กระทั่งพบชาย 2 คน ลงจากรถแล้วขนกระสอบสีดำลงจากรถด้วย จึงทำการเข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คนพร้อมยาบ้า จำนวนดังกล่าว
จากการสืบสวนขยายผลทราบว่า ยาบ้าทั้งหมด นำข้ามมาจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีนายรัตน์ ชาว จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นนักค้ายาเสพติดรายสำคัญ ที่หนีหมายจับของศาลอาญา ในข้อหา ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติด ข้ามไปอาศัยอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน เป็นคนสั่งการ ให้นายวีระพงษ์ และนายปริญญา เพื่อนสนิท จัดหาคนทำหน้าที่ลำเลียงยาเสพติด 4 ล้านเม็ด จากนครพนม ไปส่งให้เครือข่ายที่จังหวัดขอนแก่น จากนั้นจะมีรถบรรทุกขับมารับ จะให้ค่าจ้างในการลำเลียง จำนวน 150,000 บาท นายปริญญา จึงติดต่อกับผู้ต้องหาทั้ง 2 คน
ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนจึงเดินทางจากจังหวัดเพชรบูรณ์ไปยังจังหวัดนครพนม เพื่อลำเลียงยาเสพติด จำนวน 4 ล้านเม็ด โดยนำยาบ้า 4 ล้านเม็ดใส่รถเก๋งที่บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำโขง เพื่อนเดินทางมายังจังหวัดขอนแก่น โดยนายรัตน์ ได้โอนเงินค่าจ้างให้ก่อน 50,000 บาท ผู้ต้องหา 2 คน จึงชวนคนรู้จักชื่อนายบีและนายซี มาขับรถยนต์กะบะ ยี่ห้อฟอร์ด ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน เป็นสเก๊าท์หน้า ดูทางให้ โดยใช้เส้นทาง นครพนม สกลนคร กุมภวาปี มาที่จังหวัดขอนแก่น และไปยังจุดหมาย กระทั่งถูกตำรวจชุดสืบสวนจับกุมได้
ผบช.ภ.4 กล่าวอีกว่า จากการสืบสวนขยายผลนั้น ทราบว่า ยาบ้าจำนวน 4 ล้านเม็ด ลำเลียงข้ามแม่น้ำโขงด้วยเรือ ส่วนการใช้โดรนลำเลียงนั้น น่าจะเป็นเรื่องของอนาคต แต่เชื่อว่า จะมีการใช้โดรนลำเลียงแน่นอน และในส่วนของคนที่มีชื่อร่วมในขบวนการลำเลียงยาบ้า 4 ล้านเม็ดครั้งนี้ ทราบว่า เป็นชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ทั้งหมด
สำหรับนายรัตน์นั้น หลบหนีข้ามประเทศไปฝังตัวอยู่ประเทศเพื่อนบ้านจริง ส่วนนายวีระพงษ์ และนายปริญญา ต่างก็เคยถูกจับกุมในคดียาเสพติดมาแล้ว ซึ่งเมื่อจับกุมผู้ต้องหาได้พร้อมของกลางจำนวนมากเช่นนี้ ผู้ต้องหาก็จะถูกดำเนินคดีในอัตราโทษสูงสุด ถึงขั้นประหารชวิต ส่วนคนที่เกี่ยวข้อง ตำรวจก็จะรวบรวมพยาน หลักฐาน ออกหมายจับจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฏหมายทุกคน
ในส่วนของยาบ้า 4 ล้านเม็ดนั้น จากการตรวจสอบพบว่ามีการห่อหุ้มมาอย่างดี กันชื้น และทำเครื่องหมาย Y 1 กำกับทุกก้อน ซึ่งทราบว่า ยาบย้าทั้ง 4 ล้านเม็ดนั้น ขบวนการค้ายาเสพติด มีการขายส่งกันในแถบชายแดน ริมแม่น้ำโขง เม็ดละ 30 บาท มีการกำหนดระยะทางและค่าจ้างไว้อย่างชัดเจน ถ้าขนจากชายแดน มาที่ขอนแก่น เอเย่นจะจ่ายค่าจ้างเพียง 150,000 บาท จ่ายค่าจ้างล่วงหน้า 50,000 บาท แต่ถ้าลำเลียงถึง จ.นราธิวาส ค่าจ้างจะสูงขึ้นอีกหลายเท่า ราคายาบ้าก็จะแพงขึ้นอีกหลายเท่าเช่นกัน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะร่วมมือกับทุกฝ่ายในการปราบปรามจับกุมคนที่ค้ายาเสพติดและเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดทุกราย
ในขณะที่นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า จังหวัดขอนแก่นนั้น ไม่มีผู้ค้ารายใหญ่ เพราะเป็นเพียงทางผ่านของขบวนการค้ายาเสพติด และการที่ขบวนการค้ายาเสพติด มีการลำเลียงยาบ้า 4 ล้านเม็ดมาที่จังหวัดขอนแก่น ก็เพื่อส่งต่อให้ขบวนการค้ายาเสพติดที่จะมารับส่งไปที่จังหวัดนราธิวาสนั้น คนกลุ่มนี้ คำนวนระยะทางแล้วว่า ขอนแก่นเหมาะที่จะเป็นจุดศูนย์กลางที่จะพบกับเครือข่ายในการส่งต่อยาบ้า ซึ่งเขามีการทำงานกันเป็นทอดๆ โดยไม่มีคนขอนแก่นเกี่ยวข้องแต่อย่างใด