
เมื่อเวลา 13.37 น.วันที่ 14 เมษายน 2568 พ.ต.ท เทียนทิพย์ อุเทศ รอง สว.สอบสวน สภ.เพี้ยราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบชายไทยถูกไฟลามทุ่งคลอกเสียชีวิตกลางทุ่งนาขณะเผาตอซังข้าว ที่บริเวณทุ่งนา บ้านนาดี หมู่ที่1 ต.นาดี อ.เมือง จ.สุรินทร์ จึงได้ประสานแพทย์หญิงเปรมฤดี ทวีคง แพทย์นิติเวชโรงพยาบาลสุรินทร์ และหน่วยกู้ภัยสุรินทร์ รุดเข้าตรวจสอบพร่อมกับร่วมกันชันสูตร








ที่เกิดเหตุเป็นทุ่งนาเจ้าหน้าที่ดับเพลิงดับไฟลามทุ่ง และจากถนนลงไปกลางทุ่งนาประมาณ 500 เมตรพบผู้เสียชีวิตนอนคว่ำหน้ากลางทุ่งนาอยู่ไม่สวมเสื้อ สวมกางเกงขาสั้นสีเทาถูกไฟไหม้ถึงครึ่งกางเกงมีพียงนาฬิกา 1 เรือนอยู่กับศพ ทราบชื่อต่อมาชื่อนายแก้ว ดาทอง อายุ 82 ปี มีบ้านพักอาศัยเลขที่ 132 หมู่ 1 บ้านนาดี อ.เมือง จ.สุรินทร์ สภาพศพขาทั้งสองข้างถูกไฟไหม้ดำเกียม หน้าอกลงมาที่ขาทั้งสองข้างไฟไหม้
นางสมรักษ์ ชีพรม(ญาติผู้เสียชีวิต) บอกว่า ตาแก้ว มักชอบมาเผาตอซังบ่อยครั้ง ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ซึ่งครั้งแรกและครั้งที่สองนั้นกู้ชีพนาดีเคยมาช่วยนายแก้ว(ผู้เสียชีวิต) เพราะว่าช่วงที่เกิดเหตุนั้นมีชาวบ้านพบเห็นและได้แจ้งกู้ชีพมาช่วยนายแก้ว(ผู้เสียชีวิต) โดนนิสัยนายแก้ว(ผู้เสียชีวิต)เป็นคนขยยันชอบทำมาหากิน และเป็นคนดื้อไม่ค่อยเชื่อใครเตือน ซึ่งในวันนี้นายแก้ว(ผู้เสียชีวิต) ได้ออกมาจากบ้านเมื่อเวลา 10.00 น.ของวันนี้ แล้วก็มีชาวบ้านโทรศัพท์มาบอกตนว่านายแก้วถูกไฟคลอกเสียชีวิตดังกล่าว
ทางด้านกู้ชีพนาดี เผยว่า เคยมาช่วยลากผู้เสียชีวิตมาแล้ว 2 ครั้ง มีรอยแผลจากไฟเมื่อครั้งล่าสุดจากไฟ แต่ครั้งนี้ นายแก้ว(ผู้เสียชีวิต)มาเผาตอซังในนาตัวเอง จนเกิดไฟลามทุ่งไปที่นาของเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน นายแก้ว(ผู้เสียชีวิต)เกรงจะถูกต่อว่า เพราะความดื้อรั้นของตนเอง เลยรีบหาอละเอากิ่งใบต้นยูคามาตีดับไฟ แต่ลมที่แรง ควันจำนวนมาก จนทำให้สำลักควัน ล้มลง ซึ่งขณะเกิดเหตุชาวบ้านส่วนใหญ่ไปงานบุญที่วัดในประเพณีสงกรานต์ในท้องถิ่น จึงไม่มีใครเห็น ซึ่งได้มีชาวบ้านที่ออกจากวัดจะกลับบ้านได้สังเกตุเห็นกลุ่มควันขึ้น จึงรีบมาดูพบว่านายแก้ว(ผู้เสียชีวิต)ถูกไฟคลอกนอนคว่ำหน้าเสียชีวิตดังกล่าว
พ.ต.ท เทียนทิพย์ อุเทศ รอง สว.สอบสวน สภ.เพี้ยราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ และแพทย์หญิงเปรมฤดี ทวีคง แพทย์นิติเวชโรงพยาบาลสุรินทร์ ได้บันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานพร้อมกับร่วมกันชันสูตรศพที่เกิดเหตุ และได้ส่งมอบร่างให้ญาตินำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป