
วันที่ 22 เมษายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในเขตพื้นที่ สภ.สำโรงทาบ อ.สำโรงทาบ จ.สุรินทร์ ว่ามีนายตำรวจ เกษียณราชการยศ ร.ต.อ. สมชาย พรหมขัติแก้ว อายุ 67 ปี สังกัด สภ.สำโรงทาบ ได้อาศัยอยู่ที่แฟลตตำรวจมานานหลายปีพอเกษียณอายุราชการไปแล้วแต่กลับไม่ย้ายสิ่งของออกไป จนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อยเดือดร้อนไม่มีที่อยู่ จึงได้ร้องสื่อมวลชนช่วยเป็นกระบอกเสียง เข้าไปตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้อาวุโสนายนั้นด้วย



หลังจากที่ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งได้เข้าไปสังเกตุการณ์ก็พบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคนที่ถูกกล่าวหากำลังทำกับข้าวโต๊ะจีนอยู่และ จึงได้เดินออกมา และได้สอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจบางนาย ซึ่งไม่ขอให้ข่าวเนื่องจากว่าเกรงจะมีผลกระทบจากผู้บังคับบัญชา ผู้สื่อข่าวจึงได้เข้าไปพบกับนายสมบัติ วิวาสุข ประธาน ก.ต.ตร.สภ.สำโรงทาบ ซึ่งก็ได้คำตอบว่า เรื่องดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นซึ่งตนเองได้รับการร้องเรียนมานานเช่นกัน แต่ตนเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะทุกคนต่างเห็นหน้าเห็นตากันทุกวัน แต่ก็เห็นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อยที่ได้มาทำงานแห่งนี้ไม่มีที่พัก ถึงมีแต่ก็ต้องมาพักอาศัยนอนแออัดยัดเยียดกันอยู่ห้องละ 3-4 คน ซึ่งห้องของอดีตนายตำรวจรายนั้น มีด้วยกันถึง 2 ห้อง แต่ไม่ได้ทำอะไร และไม่มีคนเข้ามาอยู่มีแต่สิ่งของที่เอาไว้ทำธุรกิจของตนเองเท่านั้น
นายสมบัติ ยังบอกอีกว่า นายตำรวจรายดังกล่าว เกษียณอายุราชการมานานถึง 7ปีแล้ว แต่ท่านก็ยังเข้าไปพักที่แฟลตและทำธุรกิจส่วนตัวคือการทำโต๊ะอาหารจีนตามงานต่างๆ และนายตำรวจรายดังกล่าวยังมีลูกเขย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเช่นกันพักคนละห้อง ทั้งที่บ้านของนายตำรวจคนดังกล่าวก็ก่อสร้างไว้หลังใหญ่โตแต่ก็ยังมาเบียดเบียนแฟลตตำรวจ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนที่อึดอัดแต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ตนจึงได้ขอวิงวอนสื่อมวลชนช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับทราบกับเรื่องที่เกิดขึ้น และให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองออกมาดูแลด้วย ซึ่งตนไม่มีอำนาจอะไรที่จะไปสั่งการ นอกจากวอนสื่อมวลชนนำเสนอออกไป เพื่อให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหนังสือแจ้งมาอย่างชัดเจน เพราะระเบียบของทางราชการมันมีอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปในเขตพื้นที่ สภ.สำโรงทาบ ก็ได้มี พ.ต.อ.ศิราเมษฐ์ ธานินพิทักษ์ รอง ผบก.ภ.จว.สุรินทร์ ได้เดินทางมาตรวจราชการ และได้สอบถามกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พร้อมกับได้ตอบกับผู้สื่อข่าวว่าเรื่องดังกล่าว ทางกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ ยังไม่ได้รับหนังสือร้องเรียนอะไรแต่พอทราบเรื่องแล้ว ซึ่งจะหาข้อเท็จจริงที่มาที่ไปอย่างไร เพราะเคสดังกล่าวเคยเกิดขึ้นแล้วที่ สภ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ จนกระทั่งผู้ถูกร้องก็ต้องย้ายออกไปตามระเบียบของทางราชการต่อไป