ชาวบ้านหวาดผวากลุ่มวัยรุ่นเป็นเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปี ยกพวกกว่า 10 คนไล่ล่าคู่อริหวังตะลุมบอนมีทั้งปืนและมีดดังสนั่นซอย









จากกรณีเพจเฟซบุ๊กชื่อ “ตุ้ม โอสด” ได้โพสต์คลิปภาพกล้องวงจรปิดพร้อมข้อความระบุไว้ว่า ฟอมชั่ง สุรินทร์ #เลือด ร้อน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.66 ช่วงเวลา 20.09 น. คลิปภาพจากกล้องวงจรปิดที่ร้านสะดวกซื้อในซอยรวมใจ ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ จับภาพกลุ่มวัยรุ่นกว่า 10 คนพร้อมรถจักรยานยนต์จำนวน 10กว่าคัน วิ่งเข้ามาในซอยรวมใจ อยู่บริเวณเลียบคลองชลประทาน พร้อมกับตะโกนด่าทอวัยรุ่นที่อยู่ในซอยร่วมใจ กลุ่มวัยรุ่นได้ถืออาวุธมีดภายในมือวิ่งไล่ตามคู่อริ สักพักได้ยินเสียงระเบิด และปืนดังขึ้น หลังจากนั้นกลุ่มวัยรุ่นกว่า 10 คนรีบขึ้นรถจักยานยนต์แยกย้ายกันกลับไป









วันที่ 13 มิถุนายน 2566 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุบริเวณถนนเลียบคลองชลประทาน ช่วงซอยรวมใจพัฒนา3 พร้อมกับสอบถามชาวบ้านทราบว่า ช่วงเวลาเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.66 ช่วงเวลา 20.09 น. ของวานนี้ กลุ่มตนได้นั่งขายของอยู่หน้าร้านได้เห็นกลุ่มวัยรุ่นมาจากปากทางบ้านเจ็มเนียง หมู่ 7 พอมาถึงซอยรวมใจพัฒนา3 ก็ได้มีเสียงตะโกนด่าทอวัยรุ่นที่อยู่ในซอย(ภายในซอยเป็นหอพักนักศึกษา)พร้อมกับจอดรถจักรยานยนต์สวมหมวกกันน็อคแล้วถืออาวุธมีดและปืนพากันเดินเข้าไปในซอย จากนั้นได้ยินเสียงคล้ายระเบิด 3 ครั้ง ตนจึงรีบวิ่งเข้าบ้านไม่ออกมาจนกระทั่งกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวได้ขับรถจักรยานยนต์ออกไป ซึ่งคาดว่ากลุ่มวัยรุ่นที่อยู่ในซอยนี้น่าจะเคยเป็นคู่อริกันมาก่อนหน้านี้
นางเอ (นามสมมติ..ไม่ขอเปิดเผยใบหน้าเพราะกลัวได้รับผลกระทบ )ชาวบ้านที่พักอาศัยอยู่ในซอยดังกล่าว เล่าว่า กลุ่มเด็กวัยรุ่นเข้ามาตีกันบ่อย วันที่ตีกันตนเข้าบ้านนอนแล้ว แต่ได้ยินเสียงดังมากๆ ทั้งปืนทั้งระเบิดและเสียงมีด ตะโกนโวยวายท้าทายกัน ซึ่งทำให้ตนนอนไม่หลับเพราะกลัว ถ้ามีลูกปืนยิงเข้ามาที่บ้านอาจถึงแก่ชีวิตได้ ตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเด็กสมัยนี้ใช้อาวุธไม่เหมือนสมัยก่อน แข่งกันเก่ง แข่งกันท้า ตอนนี้ก็ได้แค่ระวังตัวและเข้าบ้านให้ไวขึ้น ซึ่งแต่คืนเบิ้ลรถ จยย.อยู่บริเวณในซอย เดี๋ยวก็มาตีกันอีกเพราะแค้นกันไปแค้นกันมา ตอนนี้รู้สึกกลัว ต้องนอนอย่างระวังตัว เพราะบ้านอยู่ติดกับถนนเลย ที่ผ่านมายังพอทนแต่รอบนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ วอนเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจตราบ่อยๆพร้อมกับจัดการกับกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนี้ วันนี้ยังไม่มีผู้เสียชีวิตหรือต้องให้มีผู้เสียชีวิตก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงจะตามจับมาดำเนินคดี