ธารน้ำใจหลั่งไหลช่วยน้องเตย ด.ญ.วัย 4 ขวบหัวใจแกร่งจ.บุรีรัมย์ ดูแลย่าตาบอด ยอดเงินบริจาคทะลุล้าน รองผู้ว่าฯ พร้อมหลายหน่วยงานรุดช่วยเหลือเตรียมปรับปรุงซ่อมแซมบ้านแบบอารยสถาปัตย์ให้สะดวกปลอดภัย ขณะครูสาวที่นำเรื่องราว 2 ชีวิตไปโพสต์โซเชียลตื้นตันน้ำตาซึมหลังผู้ใจบุญ และหน่วยงานรัฐเข้าช่วย ผู้ประกาศข่าวช่องดังรับส่งเสียน้องเรียนจบ ป.โท





จากกรณีที่ น.ส.พัชรินทร์ เอสะตี หรือ ครูอุ้ม อายุ 34 ปี ครูโรงเรียนบ้านมะขามทานตะวัน ต.ตาเสา อ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์ ได้โพสต์คลิปลงในโซเชียล เล่าเรื่องราวของ ด.ญ.สุธีมนต์ จินดาศรี หรือน้องเตย อายุ 4 ขวบ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ เรียนอยู่ชั้นอนุบาล 2 แต่หัวใจสุดแกร่งช่วยทำงานบ้านเกือบทุกอย่าง และดูแลนางเสา จินดาศรี อายุ 68 ปี ซึ่งเป็นย่าที่พิการตาบอดทั้งสองข้างตามลำพัง หลังจากครูได้ลงไปเยี่ยมบ้านเห็นสภาพ 2 ย่าหลาน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความลำบาก โดยนอนอยู่บนเตียงใต้ถุนบ้านที่มีเพียงแผ่นไม้กั้นเป็นผนัง มีช่องว่างขนาดใหญ่จำนวนมากฝนตกก็สาดโดนเปียก เวลาไปโรงเรียนย่าก็จะใช้ไม้เท้าคลำทางจูงมือหลานไปส่งโดยหลานจะเป็นคนคอยบอกทางระยะทางเกือบ 1 กิโลเมตร อาหารการกินก็อาศัยเบี้ยคนพิการเดือนละ 800 บาท และเบี้ยผู้สูงอายุเดือนละ 600 บาท เนื่องจากลูกไปทำงานต่างจังหวัดไม่ได้ส่งเสีย
ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2566 นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ได้มอบหมายให้นายจำเริญ แหวนเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจ.บุรีรัมย์ พร้อมด้วยนางนัฏญา จิตรเกาะ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดบุรีรัมย์ , ดร.สัมนาการณ์ บุญเรือง ศึกษาธิการจังหวัดบุรีรัมย์, นายเอกราช ชวีวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จ.บุรีรัมย์ , ผู้แทนบ้านพักเด็กและครอบครัวจ.บุรีรัมย์, ผู้แทนสาธารณสุขจังหวัด, รพ.บุรีรัมย์ และอีกหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ไปเยี่ยมให้กำลังใจ นางเสา ผู้เป็นย่า และน้องเตย หลานสาววัย 4 ขวบ พร้อมทั้งมอบสิ่งของบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น รวมถึงวางแผนให้ความช่วยเหลือทั้งระยะสั้นและระยะยาวด้วย




ครูอุ้ม เล่าว่า เมื่อประมาณวันศุกร์ สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีประชุมผู้ปกครองคุณย่า ได้ใช้ไม้เท้าเดินคลำทางไปกับน้องเตย หลานสาว แล้วย่าก็น้ำตาซึมไปบอกกับครูว่า คุณครูขอให้ช่วยออกค่าประกันอุบัติเหตุ 180 บาทให้ทางโรงเรียนก่อนได้มั้ย เดี๋ยวพอเบี้ยคนชราออกแล้วจะเอามาให้ ครูก็เลยบอกว่าไม่เป็นไร ซึ่งตอนนั้นครูเองไม่ทราบว่าย่าตาบอดแต่พอได้พูดคุยถึงรู้ว่าย่ามองไม่เห็น จึงได้ถามว่าแล้วย่ามาส่งหลานยังไง ย่าก็บอกว่าใช้เท้าคลำทางมา จึงบอกย่าว่าวันหลังไม่ต้องมาส่งนะเดี๋ยวครูจะไปรับส่งให้ จากนั้นครูก็ขอมาดูที่บ้านถึงได้มาเห็นสภาพบ้าน และการดำเนินชีวิตของน้องเตยกับย่า ก็เลยขออนุญาตถ่ายคลิปไปลงโซเชียลแล้วขอรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือน้อง กับย่า เพราะด้วยความเป็นครูทนเห็นเด็กคนหนึ่งอยู่ในสภาพแบบนั้นไม่ได้ แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพราะคิดว่าก็ช่วยในส่วนของตัวเองที่สามารถทำได้ หลังจากที่ครูนำเรื่องราวไปเผยแพร่ก็มีผู้ใจบุญบริจาคช่วยเหลือล่าสุดยอดกว่า 1 ล้านบาท รวมถึงมีหน่วยงานต่างๆ ยื่นมือเข้ามาช่วย และมีผู้ประกาศข่าวชื่อดังขอรับส่งเสียน้อง เรียนจนจบปริญญาโท ก็รู้สึกดีใจกับน้องมาก ที่มีผู้ใหญ่ใจดีหลายท่านมาช่วย
ทั้งนี้ ครูอุ้มยังได้ขอเป็นตัวแทนกล่าวขอบคุณผู้ใจบุญ และหน่วยงานต่างๆ ที่ช่วยเหลือน้องกับย่า ซาบซึ้งในน้ำใจคนไทยพูดพลางน้ำตาซึม หลังจากนี้น้องจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ด้านนางเสา ผู้เป็นย่า บอกว่า ตนเลี้ยงหลานสาวคนนี้มาตั้งแต่ยังเล็ก หลานเป็นคนเลี้ยงง่ายไม่เคยงอแง ที่ผ่านมาก็จะสอนให้หลานรู้จักช่วยเหลือตัวเอง กระทั่งเมื่อปี 2564 ตาข้างขวาบอดสนิท และข้างซ้ายพล่ามัวเกือบบอด หลานก็จะคอยช่วยงานที่บ้านทั้งล้างจาน ซักผ้า หุงข้าว เวลาไปส่ง ร.ร.หลานก็จะใช้ไม้เท้าคลำทางไป ส่วนข้าวปลาอาหารก็ใช้เงินจากเบี้ยคนชราเดือนละ 600 และเบี้ยผู้พิการเดือนละ 800 บาท พอครูมาเห็นแล้วนำเรื่องราวไปโพสต์จนมีผู้ใจบุญและหน่วยงานมาช่วย ก็ดีใจมาก ก็ขอบคุณทั้งคุณครู ผู้ใจบุญ และหน่วยงานต่างๆ ด้วย
ขณะที่ น.ส.ณัฏญา จิตรเกาะ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า หลังจากลงพื้นที่มาเยี่ยมให้กำลังใจและมอบสิ่งของช่วยเบื้องต้นแล้ว ก็จะได้บูรณาการร่วมกับหลายภาคส่วนในการดำเนินการช่วยเหลือย่าและหลาน โดยเบื้องต้นได้วางแผนจะปรับปรุงซ่อมแซมบ้านทั้งจากเงินบริจาคและเงินจากที่หน่วยงานต่างๆสนับสนุน โดยบ้านจะทำการปรับปรุงเป็นแบบอารยสถาปัตย์เนื่องจากคุณย่า เป็นผู้พิการตามองไม่เห็น จึงจะเน้นให้มีความสะดวกและปลอดภัยมากที่สุด รวมถึงประสานทางโรงเรียนช่วยดูแลเรื่องอาหารให้กับน้องเพื่อให้ได้รับอาหารที่มีโภชนาการเหมาะสมกับวัยด้วย ซึ่งก็จะมีการดูแลทั้งในระยะสั้นและระยะยาวด้วย ส่วนเรื่องเงินบริจาคก็จะให้ผู้นำในพื้นที่ช่วยดูแลในอีกทางหนึ่ง
ซึ่งล่าสุดมียอดเงินบริจาคช่วยเหลือสองย่าหลานแล้วกว่า 1 ล้านบาท โดยย่าขอประกาศปิดรับบริจาคแล้ว เพราะยอดเงินเพียงพอที่จะดำเนินชีวิตสองย่าหลานแล้ว ขณะที่ผู้ประกาศข่าวช่องดังขอส่งเสียน้องเตยเรียนจนจบปริญญาโท