ป้าวัย 67 ชาว อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ร่ำไห้ร้องขอความเป็นธรรมเซ็นค้ำซื้อดาวน์รถยนต์ให้เพื่อนหลานสะใภ้ สุดท้ายโดนฟ้องยึดที่นากว่า 9 ไร่และที่สวนข้างบ้านอีกแปลงขายทอดตลาดทั้งที่ดิ้นรนหาเงินผ่อนจ่ายตามสัญญา หมดตัวไร้ที่ทำกิน ทั้งที่ต้องรับภาระดูแลพี่ชายพิการ แถมยังเป็นหนี้ ธกส.อีก 6 แสนทั้งที่ลูกกู้มาปิดแล้ว วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบให้ความเป็นธรรม


วันที่ 6 ก.ค. 2566 นางสงบ นามไพร อายุ 67 ปี เกษตรกรชาวต.หินลาด อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ได้ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมทั้งน้ำตา หลังจากเมื่อปี 2561 ขณะไปรับจ้างทำมาหากินอยู่ที่ จ.ชุมพรกับครอบครัว หลานสะใภ้ซึ่งไปทำงานอยู่ที่ชุมพรเหมือนกัน ได้มาขอให้ช่วยไปเซ็นค้ำประกันซื้อดาวน์รถยนต์ราคากว่า 7 แสนบาทให้ โดยไม่รู้ว่าหลานสะใภ้ใช้ชื่อเพื่อนเป็นคนซื้อ แต่หลานสะใภ้เป็นคนเอารถไปใช้และจ่ายค่างวดเอง โดยสามีของเพื่อนหลานสะใภ้เป็น และตนเองเป็นคนเซ็นค้ำ แต่ต่อมาปี 2562 เพื่อนหลานสะใภ้ที่มีชื่อซื้อดาวน์รถยนต์คันดังกล่าวได้ล้มป่วยและเสียชีวิต แล้วหลานสะใภ้ที่เป็นคนเอารถไปใช้ไม่จ่ายค่างวดต่อ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าบริษัทประกันที่ทำเอาไว้จะยกกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้คนซื้อที่เสียชีวิต แต่บริษัทประกันแจ้งว่าไม่เข้าเงื่อนไขเพราะไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุ บริษัทไฟแนนซ์จึงมายึดรถคืน พร้อมทั้งได้ฟ้องศาลจังหวัดชุมพร เรียกค่างวดที่ค้างชำระคืน 8 เดือน และค่าส่วนต่างรวมเป็นเงิน 120,000 บาท กระทั่งมีการไกล่เกลี่ยในชั้นศาล ซึ่งตนเองก็ยอมผ่อนจ่ายเดือนละ 3,000 บาท เพราะไม่อยากถูกยึดทรัพย์ โดยที่ผ่านมาก็ผ่อนจ่ายตามสัญญามาตลอดมีบางเดือนที่จ่ายช้าบ้างเพราะหาเงินไม่ทัน กระทั่งเหลือยอดประมาณ 3 หมื่นบาท ก็มีหมายบังคับมาติดประกาศขายทอดตลาดที่ดินที่เป็นชื่อของตัวเอง 2 แปลง คือ แปลงที่นาเนื้อที่ 9 ไร่ 2 งาน 27 ตารางวา และแปลงสวนข้างบ้านเนื้อที่ 1 งาน 48 ตารางวา





แต่แปลกใจว่าที่นาเนื้อที่ 9 ไร่กว่า มีการทำสัญญาซื้อขายระหว่างบริษัทไฟแนนซ์กับผู้ซื้อ เมื่อเดือน เมษายน 2566 ที่ผ่านมา ตามประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีในราคาเพียง 50,000 บาท มองว่าไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เพราะแปลงที่สวนข้างบ้านเนื้อที่ 1 งาน 48 ตารางวา ขายในราคา 100,000 บาท และที่คาใจคือ ที่นาเนื้อที่ 9 ไร่กว่าซึ่งติดจำนองเพราะตนนำไปค้ำประกันเงินกู้ ธกส.ให้กับสามียอดหนี้ประมาณ 580,000 บาท แต่เมื่อปี 2564 ลูกชายของตนเอง 2 คนได้ไปกู้เงิน ธกส.คนละ 300,000 บาท รวมเป็น 600,000 บาท โดยใช้สมาชิกค้ำกันเอง เพื่อนำเงินก้อนไปปิดหนี้ ธกส.ที่สามีตนกู้ 580,000 บาท แต่เมื่อปิดหนี้แล้วทำไมธนาคารถึงไม่มอบโฉนดที่ดินให้ แต่กลับถูกนำที่ดินไปประกาศขายทอดตลาดในราคา 5 หมื่น แต่ผู้ซื้อกลับไม่ชำระหนี้ที่ติดจำนองด้วย ซึ่งตามเงื่อนไขแล้วหากขายทอดตลาดแล้วที่ติดจำนองผู้ซื้อจะต้องรับภาระยอดหนี้ดังกล่าวด้วย จากกรณีดังกล่าวจึงอยากเรียกร้องให้ทาง ธกส. บังคับคดี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมกันตนเองด้วย เพราะตอนนี้ต้องไร้ที่ทำมาหากิน แถมยังเป็นหนี้ ธกส.อีก 6 แสนบาท เพียงเพราะไปเซ็นค้ำให้คนอื่น ซึ่งก็ได้นำเรื่องไปยื่นต่อยุติธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ไว้แล้ว